กระบี่ 7 ที่เที่ยว 6 คาเฟ่ 2 ที่พัก
กระบี่
7 ที่เที่ยว 6 คาเฟ่ 2 ที่พัก
เมื่อพูดถึงการไปเที่ยวกระบี่ เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงแค่ทะเลกันเป็นส่วนใหญ่ แต่รู้ไหมว่ากระบี่ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะแยะมากมาย ชนิดที่เรียกว่าเที่ยวทริปเดียวก็ไม่พอ หลังจาก 2 ปีก่อนเคยเขียนคอนเท้นต์ “กระบี่ มีดีมากกว่าทะเล” ไปแล้ว ทริปนี้จะพาไปเที่ยวแบบชิลๆ เพราะเป็นการพาเพื่อนเที่ยว กระบี่ครั้งแรกของเพื่อนตรงช่วงหน้าฝนก็ต้องวางแผนให้เที่ยวบนบกแบบที่ประทับใจกันไปเลย กับ 7 ที่เที่ยวสวยๆ 6 คาเฟ่เก๋ๆ และ 2 ที่พักแบบชิลๆ
วันที่ 1
10.30 น. ถึงกระบี่ รับรถ Avis
11.30 น. สระมรกต
14.00 น. น้ำตกร้อน
15.30 น. Café’ 8.98 at Krabi Town
17.00 น. Sprucy Cafe
นอนในเมือง
ถนนคนเดิน
ร้านโรตีข้างห้างโวค
วันที่ 2
10.00 น. EP’S Cafe the patisserie Krabi
11.15 น. Hub Cafe
12.00 น. ท่าปอมคลองสองน้ำ
13.30 น. คลองสระแก้ว
นอนอ่าวนาง
Aonang Beat Music Festival
วันที่ 3
sanim coffee
ชิลที่ทะเล หาดอ่าวนาง
Caramel – The Taste of life
แวะถ่ายรูปลานปูดำ เขาขนาบน้ำ
กลับสนามบิน
วันที่ 1
ทริปนี้จะไปเที่ยวกับเพื่อนแต่เดินทางกันคนละไฟลท์ เนื่องจากจองกันคนละเวลา พอส่งเพื่อนเข้าไปแล้วเราก็เดินมาทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ดในสนามบินดอนเมืองเช่นเคย หลังจากที่เคยลงบอกไว้ในบทความก่อนๆแล้วนะคะว่ามาทานที่ Magic Food Park จะได้ทานอาหารในราคาประหยัด รสชาติใช้ได้ 40-50 บาทก็อิ่มได้แล้ว
10.30 น. ถึงกระบี่ รับรถ Avis
แล้วก็มาเจอกันที่สนามบินกระบี่เวลาประมาณ 10.00 น. ติดต่อรับรถที่เคาน์เตอร์ AVIS Rent a car เราใช้บริการของเจ้านี้แทบทุกทริปที่ขับรถเที่ยวต่างจังหวัด ตั้งแต่เริ่มซื้อคูปองจากงานท่องเที่ยว จองผ่านหน้าเว็บไซต์ จองผ่านคอลเซ็นเตอร์ ได้รับมาตรฐานเดียวกันทุกครั้งและทุกจังหวัดเลยด้วย ที่ สำคัญคือ คืนรถช้าได้ถึง 4 ชั่วโมง (นับ 24 ชั่วโมง = 1วัน) เช็คราคาและจองผ่านเว็บไซต์ http://www.avisthailand.com หรือโทรศัพท์ที่เบอร์ 02-251-1131-2 และ 02-255-5300-4
11.30 น. สระมรกต
จุดหมายแรกของเราคือ “สระมรกต” เพื่อนรีเควส เราก็ต้องจัดให้ เนื่องจากว่าสระมรกตอยู่ในทิศทางที่ฉีกออกไปจากสถานที่อื่นๆในแพลน จึงจัดเอาไว้ในวันแรก ออกจากสนามบินแล้วไปทางซ้าย
บริเวณนั้นจะมีน้ำตกร้อนอยู่ไม่ไกลกันด้วย ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็มาถึงลานจอดรถหน้าทางเข้าสระมรกตแล้ว
ต้องซื้อบัตรกันก่อนนะคะ ธรรมเนียมค่าเข้า ผู้ใหญ่ คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท (ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200.- / เด็ก 100.-)
ทางเดินมี 2 ทางค่ะ ทางที่ตรงไปจะเป็นทางดินปนหิน มีต้นไม้อยู่เยอะมากคล้ายตัดถนนเข้ามากลางป่า และมีป้ายชื่อต้นไม้ติดอยู่ให้อ่านเพลินๆไปเรื่อยทาง ระยะทางเดินเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร
ถ้าอีกทาง จากปากทางเข้ามาจะอยู่ทางขวามือ เป็นสะพานปูนเข้าไปราว 1.4 กิโลเมตร จะมีต้นไม้ค่อนข้างทึบด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมองเห็นน้ำที่ไหลออกมาจากสระมรกตตลอดทาง เราเลือกไปทาง 1 กิโลเมตรค่ะ เข้าป่าโดยที่ไม่ต้องอ่อนล้า….
เดินมาไม่นานก็ได้พบกับป้ายนี้แล้วเดินต่อเข้าไปอีกหน่อย
วันนี้มาช่วงกลางวันและเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมากันเยอะมาก
ถ้าเทียบกับครั้งก่อนที่เราแหกขี้ตาตื่นบึ่งมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่มีใครเลย คนละเรื่องกันเลย ฮ่าๆๆๆ
แต่มันก็ดูน่าสนุกไปอีกแบบเหมือนได้เห็นคนเยอะๆเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แม้คนจะเยอะแต่ว่าน้ำในสระมรกตก็ยังคงใสและเขียวอมฟ้าอยู่เช่นเคย เพราะเป็นน้ำที่ไหลมาจากบ่อน้ำผุดด้านในซึ่งมาช่วงหน้าฝนแบบนี้ก็จะเจอป้ายปิดทางไม่ให้เข้าไปยังบ่อน้ำผุดเช่นเคย (มา 2 ครั้งก็ยังไปไม่ถึง ^^”)
นักท่องเที่ยวบางคนก็ลงเล่นกันตั้งแต่บริเวณทางเดินเข้าเลยค่ะ เพราะมีน้ำใสๆไหลมาถึงเช่นกัน
หรือตรงบริเวณปลายสะพานไม้ใกล้ๆกับสระมรกตจุดนี้ก็สามารถลงเล่นน้ำได้เช่นกันนะคะ ใสและมีสีออกฟ้าอมเขียวด้วย แต่ต้องระวังลื่น
ส่วนขาออกเลือกเดินออกทางสะพานปูนค่ะ เดินมาไม่นานจะพบกับ “สระแก้ว” มีลักษณะคล้ายกับสระมรกต แต่จะอยู่ท่ามกลางป่าไม้ น้ำไม่ค่อยไหลเวียนเหมือนสระมรกต จึงมีตะไคร่และเศษใบไม้อยู่เยอะ และมีความลึกตื้นในระดับที่ต่างกันอยู่ภายใน
ระยะทางค่อนข้างไกลสักเล็กน้อย แต่ถ้ามีแดดจะร้อนกว่าอีกทางเนื่องจากบางช่วงไม่มีต้นไม้บังแดด
เมื่อเดินออกมาถึงปลายทางก็แวะกันบริเวณจุดนี้อีกรอบ ใครไม่อยากเดินเข้าไปข้างในจะแวะเล่นน้ำกันที่ปากทางนี่เลยก็ได้ ใส เย็น ดูสวยไม่น้อยเลย
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม
คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
ต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท
เปิดให้เข้าชม 08.30 น. ถึง 17.00 น. ทุกวัน
14.00 น. น้ำตกร้อน
จากนั้นขับออกมาทางเดิมแล้วแวะกันที่ “น้ำตกร้อน” น้ำตกร้อนสะพานยูง หรือน้ำตกร้อนคลองท่อม ชาวต่างชาตินิยมเรียกกันว่า Hot Stream มีค่าเข้าคนละ 20 บาทก่อนนะคะ
จากนั้นก็สามารถเดินเท้าเข้าไปได้ในระยะทางประมาณ 300 เมตร หรือจะนั่งรถไฟฟ้าเข้าไปก็ได้เช่นกัน มีค่าบริการครั้งละ 10 บาทค่ะ แต่เราเลือกเดินเพราะไม่ไกลนะ
เดินเข้ามาอีกหน่อยจะได้เห็นบ่อซีเมน์ที่ทำไว้ให้ได้ลงแช่กันแบบสบายๆ หรือเล่นน้ำกันตรงนี้โดยไม่ต้องเข้าไปด้านในได้เลย
เป็นน้ำตกร้อนที่ใสและสวยมาก แน่นอนว่าเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีแร่ธาตุ จึงสามารถลงไปแช่ให้สบายตัวกันได้เลย อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียส
และที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ โขดหินบริเวณน้ำตกเป็นแอ่งคล้ายอ่างน้ำที่สามารถลงไปแช่เหมือนนั่งแช่ออนเซ็นอย่างไรอย่างนั้น
คำแนะนำในการลงแช่น้ำตกร้อน ควรลงไปแช่ประมาณ 15 – 20 นาที นักท่องเที่ยวก็เยอะไม่แพ้กันค่ะ มีทั้งจีน เกาหลี ฝรั่ง ไทย
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม
คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
ต่างชาติ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท
ค่าธรรมเนียมที่จอดรถ
รถจักรยานยนต์ 10 บาท
รถขนาดไม่เกิน 4 ล้อ 30 บาท
รถขนาดเกิน 4 ล้อ 60 บาท
เปิดให้เข้าชม 08.30 น. ถึง 17.00 น. ทุกวัน
15.30 น. Café’ 8.98 at Krabi Town
กลับเข้ามาในเมืองแวะที่ Café’ 8.98 at Krabi Town ร้านนี้จะมี 2 สาขานะคะ อีกสาขาหนึ่งจะอยู่ที่หาดอ่าวนาง สำหรับทริปนี้เราแวะมาสาขาในเมืองกระบี่ อยู่ที่ ซ.มาหาราช 6
ภายในร้านจะเน้นใช้โครงเหล็ก ไม้ และกระจก จึงทำให้บรรยากาศดูโปร่งสบาย ขนาดค่อนข้างกว้าง มีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายแบบ
สามารถเลือกทานเมนูอาหารได้หลากหลายเมนู ซึ่งเน้นสไตล์ตะวันตก ใช้วัตถุดิบที่สดใหม่และดีต่อสุขภาพ มีเบเกอรี่ และเครื่องดื่มอีกเยอะมาก ไว้คอยให้บริการทุกวัน
17.00 น. Sprucy Café
มาต่อกันอีกร้านเพื่อละเลียดของหวาน กับร้าน Sprucy Café อยู่ริมถนนอุตรกิจ เส้นเดียวกับลานอนุสรณ์ปูดำ สามารถจอดรถบริเวณหน้าร้านได้
บรรยากาศดูอบอุ่นๆด้วยโทนสีน้ำตาล ดำ และขาว เน้นเมนูของหวานซึ่งเป็นเมนูโฮมเมดทั้งหมดค่ะ เครื่องดื่มหลากหลายและเบเกอรี่อีกมากมาย
โซนด้านในที่เพิ่งต่อเติมและตกแต่งใหม่ เรียกว่า โซนสีขาว (White Zone) เป็น Co-Cooking Space ที่ให้เช่าพื้นที่สำหรับถ่ายรูป ทำงาน แต่สำหรับผู้ที่เข้ามาทานเบเกอรี่หรือเครื่องดื่มภายในร้าน สามารถเข้ามานั่งในนี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม
นอนในเมือง
ที่พักคืนแรกเลือกนอนในเมืองค่ะ เนื่องจากเดี๋ยวจะพาเพื่อนไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกระบี่กัน จึงเลือกที่ Lada Krabi Express อยู่ที่ ซอยมหาราช 12 ความดีงามของที่นี่คือ สามารถเดินไปถนนคนเดินได้ในระยะทางเพียง 200 เมตรเท่านั้น / ราคาหลักร้อยแต่อุปกรณ์ของใช้ภายในห้องครบครัน / มีรองเท้าให้เปลี่ยนก่อนเดินขึ้นห้องพัก / มีร่มให้ยืมออกไปใช้เวลาฝนมาหรือแดดจัด / ตอนกลางคืนมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย
ถนนคนเดิน
ราว 2 ทุ่มชวนกันเดินไปถนนคนเดิน อยู่ที่ ซอยมหาราช 8 เริ่มเปิดตั้งแต่ 17.30 น. ในวันศุกร์ – อาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวมาเดินกันจำนวนมากทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพราะของที่ขายอยู่จะมีทั้งของกินทั่วไป ของกินท้องถิ่น ของใช้ งาศิลปะ มีลานดนตรีสดพร้อมที่นั่งสำหรับซื้ออาหารมานั่งทานไปฟังเพลงไปชิลๆ
ร้านโรตีข้างห้างโวค
นี่ก็ไม่รู้เป็นอะไรมากระบี่ทีไรจะต้องนึกถึงโรตีหน้าห้างโวคแทบทุกครั้งไป บางทีกลับมาแล้วก็ยังนึกถึง ร้านจะอยู่ริมถนนมหาราช ใกล้ๆสี่แยกมนุษย์โบราณ์ ฝั่งห้างโวค ชื่อร้าน “โรตีข้างห้างโวค” จำกันง่ายๆแบบนี้เลย
มีเมนูโรตีให้เลือกมากมาย อาทิ โรตีกรอบ โรตีนิ่ม โรตีใส่ไข่ ใส่กล้วย ใส่โอวัลติน และเครื่องดื่มอีกหลายชนิด
แต่ถ้าไม่สั่งเมนูเครื่องดื่ม เขาก็มีชามะลิร้อนใส่กามาเสิร์ฟให้พร้อมกับจอกน้อยๆ สำหรับทุกโต๊ะที่สั่งโรตีทานที่ร้านเลยค่ะ เราชอบมาก ชามะลิหอมๆร้อนๆดื่มคล่องคอกลิ่นหอมขึ้นจมูก ดื่มก่อนทานช่วยกระตุ้นการทานให้อร่อย ดื่มหลังทานช่วยล้างความหวานมันในปากได้อย่างดี
วันที่ 2
10.00 น. EP’S Cafe the patisserie Krabi
ตื่นมาแต่งตัวช่วงเช้า แล้วเดินไปคาเฟ่ที่อยู่ห่างออกไปราว 250 เมตร ซึ่งความจริงแล้วเอารถไปจอดหน้าร้านเลยก็ได้ (ทำไมอยากเดิน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ) มากันที่ EP’S Cafe the patisserie Krabi ค่ะ
ทราบว่าร้านเปิด 10 โมง เราก็ไปกันตั้งแต่ 10 โมงเลยค่ะ ก่อนมาได้ดูรูปจากแหล่งต่างๆมาบ้างก็คิดว่าสวยแล้ว แต่พอมาถึงที่ร้านไม่คิดว่าจะสวยเว่อวังขนาดนี้ ภายในร้านเน้นโทสีเทาเข้ม ทอง และแดง เป็นหลัก ตกแต่งแบบสไตล์วิคตอเรียผสมยุโรป ดูไฮคลาสมาก แต่ขอบอกว่าราคาอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่มนั้น คนละเรื่องกับบรรยากาศเลย เรียกง่ายๆคือ บรรยากาศเกินราคานั่นเองค่ะ
รายการอาหารส่วนใหญ่ของร้านจะเป็นอาหารไทยประยุกต์ผสมซีฟู้ด ทั้งอาหารจานเดียวและแบบสั่งทานเป็นกับข้าว มีเบเกอรี่อีกหลายสิบรายการให้เลือกทาน
และที่เป็นไฮไลท์คือ “ชาร้อน” โดยทางร้านจะมีชาให้เลือกแล้วเสิร์ฟมาในกาสีสันสวยงามแบบนี้ อย่างเช่น Monk Pear Tea หอมละมุน ดื่มเพลินมาก
11.15 น. Hub Café
จากนั้นเรามุ่งหน้าไปทางท่าปอมค่ะ ระหว่างทางขอแวะอีกหนึ่งคาเฟ่ที่มีวิวธรรมชาติใกล้ๆอลังการมาก นั่นก็คือ Hub Café เป็นคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงมากๆเพราะด้านหน้าและด้านหลังมีวิวภูเขาขนาดใหญ่ ร้านตกแต่งด้วยไม้เป็นหลัก มีดีไซน์เก๋แปลกตา ดูเข้ากับธรรมชาติที่รายรอบอยู่อย่างลงตัว ที่สำคัญถ่ายรูปออกมาสวยมาก!!! ที่จอดรถกว้างขวางสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เยอะดีจริงๆ
บรรยากาศภายในร้านดูสบายๆ และเนื่องจากผนังของร้านจะมีด้านที่เป็นกระจก ทำให้บรรยากาศดูชิลมากขึ้นไปอีก สามารถชมวิวต้นไม้และภูเขาจากด้านในได้เลย
เมนูมีทั้งอาหารจานหลัก อาหารทานเล่น และเครื่องดื่มอีกมากมายหลายเมนู เนื่องจากช่วงเช้าทานมาแน่นท้องมาก จึงแวะมาจัดเมนูเครื่องดื่มกันคนละแก้ว
12.00 น. ท่าปอมคลองสองน้ำ
มาถึงท่าปอมคลองสองน้ำ มาครั้งนี้บรรยากาศด้านหน้าเปลี่ยนไปจากเมื่อ 4 ปีก่อนมาก ครั้งนั้นแถวนี้มีความเป็นธรรมชาติสูง จำได้ว่าลานจอดรถยังเป็นดินที่มีต้นไม้เยอะๆอยู่เลย มีต้นเงาะ ร้านอาหารอยู่หน้าทางเข้า ไม่มีค่าเข้า และเดินเข้าไปไม่ไกล มีป้ายปูนขนาดใหญ่สีเขียวเขียนว่า “ท่าปอม-คลองสองน้ำ” แต่ตอนนี้มีการทำลานจอดรถโดยราดพื้นซีเมนต์ มีร้านอาหาร ขนม ของฝากอยู่หลายร้าน
มีป้อมของเจ้าหน้าที่สำหรับเก็บค่าเข้า คนละ 20 บาท
ป้ายสีเขียวขนาดใหญ่หายไป ต่อสะพานที่เป็นทางเดินออกมาอีกค่อนข้างไกลจากเดิมพอสมควร แต่ข้างในยังคงดูเป็นธรรมชาติและงดงามมากดังเดิม
บริเวณนี้สามารถลงเล่นน้ำได้ แต่ด้านในนู้นไม่สามารถลงได้นะคะ
คลองสองน้ำ เกิดจากน้ำทะเลและน้ำจืดที่ออกมาจากตาน้ำธรรมชาติไหลมารวมกัน หากมาตรงช่วงที่น้ำขึ้นมากๆจะได้เห็นสีเขียวอมฟ้าชัดเจนกว่าปกติ และเป็นสถานที่ที่มาโพสต์ท่าถ่ายรูปแล้วออกมาสวยมาก! ถ่ายตรงไหนก็สวย
มาเจอทีมงานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันด้วย วิวสวยๆแบบนี้ถ่ายรูปออกมาสวยแน่นอน
ค่าธรรมเนียมเข้าชม
คนไทย เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท
ต่างชาติ เด็ก 50 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท
13.30 น. คลองสระแก้ว
เราเดินทางมาถึงคลองสระแก้วกันในช่วงเย็น ซึ่งคลองนี้จะอยู่ไม่ไกลจากท่าปอมคลองสองน้ำ
ที่นี่เป็นอีกจุดที่ใช้คำว่า “น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา” ได้อย่างเต็มปาก ลำคลองยาวประมาณ 300 เมตรภายใต้ต้นไม้น้อยใหญ่อันร่มรื่น มีน้ำใสๆสีออกเขียวอมฟ้าหน่อยๆตลอดทั้งสาย ซึ่งเป็นน้ำจืดที่ไหนมาจากตาน้ำในป่าพรุแล้วไหลยาวไปสู่ทะเลฝั่งอันดามัน มีความลึกหลายระดับ ประมาณ 50 – 150 เมตร
ค่าเข้า คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาเล่นน้ำ พายเรือคายัค (1 ที่นั่ง 120 บาท / 2 ที่นั่ง 200 บาท / 3 ที่นั่ง 300 บาท), ล่องห่วงยาง (ใหญ่ 30 บาท / เล็ก 20 บาท), นอกจากนี้ยังมีเสื้อชูชีพให้เช่าในราคา 20 บาท และหน้ากากดำน้ำ 20 บาท
แต่!! เรามาช่วงใกล้จะปิดแล้ว ตอนเดินเข้าไปเห็นมีนักท่องเที่ยวอยู่ 4-5 คน แต่พอเดินไปสักพัก ไม่มีใครอยู่แล้วทุกคนกลับกันออกไปหมดเลย นี่อยู่กับเพื่อน 2 คน แสงเริ่มน้อยลง บรรยากาศมันก็เลยแลดูวังเวงนิดหน่อย ฮ่าๆๆๆ ยังคุยกับเพื่อนเลยว่าถ้ามากลางวันๆคนเยอะๆมันน่าจะดูสนุกน่าลงเล่นกว่านี้มากนะ เอาไว้มากันใหม่ๆ
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเส้นทางเดินป่าชมธรรมชาติต้นน้ำสระกงสี้ สระลำแพน ภูเขาสระ ในระยะทาง 800 เมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง แต่จะต้องติดต่อให้เจ้าหน้าที่พาไปเท่านั้น ค่าบริการนำทางเที่ยวละ 80 บาท มีรองเท้าบูทให้ยืมใส่ด้วยค่ะ (เอาไว้โอกาสหน้าจะลองไปดู)
แอบบอกว่าที่นี่มีน้องแมวอยู่หลายตัว น่ารักๆทั้งนั้นเลยด้วย แง้วๆๆ
เวลาเปิดให้บริการ 09.30 – 17.30 น.
นอนอ่าวนาง
คืนที่ 2 เราเลือกนอนใกล้หาดอ่าวนางกัน เพราะเพื่อนอยากลงทะเลด้วย จัดการจองที่ The Palace Aonang Resort มา 1 ห้อง ในราคาไม่ถึง 5 ร้อยบาท เพราะจองผ่านแอปพลิเคชั่นสำหรับจองโรงแรมมาค่ะ จากโรงแรมเดินไปไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงทางลงหาดแล้ว ราคาก็แจ่ม ทำเลใช้ได้ ห้องพักสะอาด ห้องน้ำในตัว เตียงนอนมีให้เลือก 1 เตียงใหญ่ หรือ 2 เตียงคู่
บริเวณโรงแรมไม่มีที่จอดรถนะคะ แต่สามารถถามที่จอดรถจากพนักงานหน้าฟร้อนท์ได้ เขาจะแนะนำให้ไปจอดยังที่จอดรถ ฟรี ค่ะ เป็นลานกว้างๆแบบนี้
ภายในโรงแรมมีโต๊ะสนุ๊กและสระว่ายน้ำไว้ให้ผู้เข้าพักได้เดินมาใช้บริการกันได้อย่างสนุกสนานด้วย
และที่ทำให้เลือกจองที่นี่คือมุมนี้เลยค่ะ จากระเบียงทางเดินขึ้นลงบันได จะมองเห็นสระว่ายน้ำและวิวภูเขาตรงนั้น สวยมาก!! วิวดีมาก
แล้วก็เพลินกันอยู่ในห้องจนลืมดูเวลา อดไปเดินเล่นชายหาดตอนตะวันใกล้ตกดินเลย ฮ่าๆๆๆๆ
Aonang Beat Music Festival
ทริปนี้พวกเราโชคดีอีกชั้นคือ เรามาตรงช่วงที่มีคอนเสิร์ต Aonang Beat Music Festival 2018 ซึ่งความจริงแล้วเรามารู้ข่าวตอนที่มาถึงกระบี่แล้ว นับว่าโชคดีมากจริงๆ ที่พักเราก็ไม่ไกลจากเวทีด้วย พากันเดินไปสบายๆ
เข้าไปแล้วจะพบร้านขายอาหารและเครื่องดื่มอยู่เยอะมาก ทั้งจากร้านทั่วไป และจากร้านอาหารหรือคาเฟ่ในกระบี่ที่มาร่วมออกบูท
คืนนี้มี นนท์ ธนนท์ และ ดา เอ็นโดรฟิน กว่าจะมาถึงก็ได้ยืนฟังน้องนนท์ร้องช่วงกลางๆแล้ว เวทีใหญ่อยู่ริมหาดอ่าวนาง มีคนดูที่นั่งและยืนชมอยู่มากพอสมควร เป็นคอนเสิร์ตที่ได้มาดูอย่างใกล้ชิดแบบนี้ครั้งแรกของเราเลยก็ว่าได้ และเพิ่งรู้ว่าน้องนนท์มีสเน่ห์มาก เราเคยเห็นน้องในทีวี เคยดูรายการ The Mask Singer ที่น้องเพิ่งเป็นแชมป์ในปีล่าสุด (หน้ากากเป็ดน้อย) ก็ยังไม่เท่าไร แต่พอมาได้ดูคอนเสิร์ตสดๆของน้องคือชอบเลย เสียงเพราะ เอ็นเตอร์เทนดี
จากนั้นต่อด้วยพี่ดา เอ็นโดรฟิน นักร้องที่ฟังเพลงของเขามาตั้งแต่สมัยมัธยม ร้องเพลงของเขาได้มากกว่าครึ่ง ทุกคนเริ่มลุกขึ้นยืนและกรูเข้าไปใกล้หน้าเวที คนทางหลังๆจากที่เยอะอยู่แล้วก็ไม่รู้ว่าหลั่งไหลกันมาจากไหนอีกเป็นเท่าตัว
ขอบอกเลยว่า มันสุดมาก!!! ดีสุด มันสุด สนุกสุดๆ พี่ดาเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ขั้นเยี่ยม เรียกว่าเป็นเจ้าแม่ไปเลย เพลงช้าก็ซึ้ง ไพเราะ คนร้องตามกันตลอด เพลงเร็วก็สุด สนุกเวอร์ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมายืนแหกปากร้องเพลงตามใครได้เป็นชั่วโมงๆแล้วมันสนุกสนานเพลิดเพลินขนาดนี้ ก่อนออกมาจากห้องพักเราบอกเพื่อนไว้ว่า “อยู่ดูคอนเสิร์ตไม่นานนะ ไม่อยากอยู่ดึก” แต่พอมาแล้วมันเพลินจนลืมเวลาไปเลย ตั้งแต่ออกห้องมาทุ่มครึ่ง ดูเวลาอีกทีคือ 4 ทุ่ม ไม่ได้นั่งเลย ยืนเต้น ถ่ายรูป และแหกปากร้องเพลงตลอด แล้วพี่ดาก็ยังร้องเกินเวลาตามคิวงานไปอีก ทริปนี้คุ้มเกินคุ้มจริงๆค่ะ
พอพี่ดาลงเวทีก็ได้เวลาเดินกลับห้องพัก เพิ่งรู้สึกว่าขาเปลี้ยมาก เดินไปเมื่อยขาไปแล้วก็ขำไป ฮ่าๆๆๆ
วันที่ 3
ใช่ค่ะ เหตุเพราะมันมากเมื่อคืนนี้ เช้านี้เลยตื่นสายกันนิดหน่อย ฮี่…. ^^”
sanim coffee
เราไปทานอาหารเช้าเบาๆกันที่ sanim coffee อยู่แถวๆหาดอ่าวนางนี่เลยค่ะ สังเกตง่ายมาก หน้าร้านจะมีสังกะสีเป็นสนิมที่มีฉลุไว้ว่า Sanim Hotel แบบนี้นี่แหละค่ะ ที่นี่ด้านบนเปิดให้บริการห้องพักด้วยนะคะ ซึ่งช่วงนี้ทำการปิดปรับปรุงจะแล้วเสร็จในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เอาไว้จะแวะมาเก็บภาพให้ชมกันในโอกาสต่อไปนะคะ แต่คาเฟ่ข้างล่างยังคงเปิดให้บริการเป็นปกตินะจ๊ะ
บรรยากาศของร้านจะดูอบอุ่น น่ารัก มีความอาร์ตอยู่โดยรอบ ซึ่งเป็นงานฝีมือของน้องเมย์หลานสาวคนสวยของเจ้าของแห่งนี้ น้องเมย์มีฝีมือทางด้านวาดภาพและทำอาหารค่ะ ภาพวาดต่างๆที่อยู่ในร้านล้วนแต่เป็นฝีมือของสาวสวยคนนี้ทั้งหมด รวมถึงหน้าที่การทำอาหารและทำเครื่องดื่มด้วย สวย เก่ง พูดจานิ่มนวลน่าฟัง แววตาจริงใจและเป็นกันเอง ใครมาเที่ยวแถวอ่าวนางแวะมาอุดหนุนและทักทายน้องด้วยนะคะ ^^
อาหารทั้งหมดจะเป็นแบบอาหารเช้าของฝรั่งค่ะ เพราะแถบนี้นักท่องเที่ยวฝรั่งเยอะมาก เป็นจำพวกเบอร์เกอร์ ครัวซอง แซนด์วิช
ชิลที่ทะเล หาดอ่าวนาง
ก่อนกลับเข้าตัวเมือง หาที่จอดรถแล้วเดินไปเล่นน้ำทะเลกันต่อ บริเวณหาดอ่าวนางจะมีรูปปั้นคนดึงเบ็ดที่มีปลาฉลามตัวใหญ่และตัวเล็กติดอยู่ มาที่นี่ก็ต้องมาถ่ายรูปจุดนี้กันด้วยสินะ
แล้วก็ได้เวลาชิลกับทะเลไปค่ะ ได้มองเห็นเกาะน้อยๆอยู่ไกลๆด้วย แต่ใช้เวลาอยู่ไม่นานเนื่องจากลมแรง เมฆมืด และฝนเริ่มตก จึงเดินกลับรถ แล้วมุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองกันต่อค่ะ
Caramel – The Taste of life
มาแวะคาเฟ่อีก 1 แห่ง คนอะไรติดใจคาเฟ่ – คนอย่างเรานี่ไงๆๆ ^^ คาเฟ่สุดชิลในตัวเมืองกระบี่อีกแห่งหนึ่งคือ Caramel – The Taste of life อยู่ริมถนนคงคา ระหว่างทางจากสวนสาธารณะธาราไปสวนเจ้าฟ้านั่นเองค่ะ
ที่เรียกว่าคาเฟ่สุดชิลในเมืองนั่นก็เป็นเพราะว่า คาเฟ่แห่งนี้อยู่ริมถนนซึ่งรอบๆร้านเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ดูชุ่มชื่นเป็นที่สุด มีที่นั่งตั้งแต่หน้าร้าน ในร้าน และตลอดจนหลังร้าน
ร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในร้านเน้นใช้โทนสีขาว ดูน่ารักอบอุ่นและมีความเป็นกันเองจากเจ้าของร้าน
เมนูส่วนมากเป็นจำพวกขนมปังและเบเกอรี่ แล้วก็เครื่องดื่ม ชา กาแฟ และอื่นๆอีกหลายรายการ เบเกอรี่ในตู้เห็นน่าทานแบบนี้ พอตอนยกมาเสิร์ฟจะได้เห็นความน่ารักมุ้งมิ้งจากการประดับตกแต่งมาให้ด้วยความใส่ใจและพิถีพิถัน
ที่สำคัญมีป้ายการันตีความอร่อย “ของดี จังหวีดกระบี่” ด้วยนะจ๊ะ บอกเลยว่าไม่ธรรมดา ใครมากระบี่ควรมาร้านนี้ด้วยนะ
พอได้เห็นก็ว่าน่ารักมากแล้ว ยิ่งพอได้ทานเข้าไป บอกได้คำเดียวว่า “อร่อยมาก”
แวะถ่ายรูปลานปูดำ เขาขนาบน้ำ
ก่อนกลับขอชวนเพื่อนแวะบริเวณอนุสรณ์ปูดำและจุดชมวิวเขาขนาบน้ำ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะบอกกันว่าเมื่อมาถึงกระบี่แล้วจะต้องมาถ่ายรูปคู่กับปูดำ แต่มีชาวกระบี่ไม่น้อยต่างบอกว่าจริงๆแล้วเมื่อมากระบี่จะต้องถ่ายรูปกับเขาขนาบน้ำนะจ๊ะ
กลับสนามบิน
ใกล้เวลากลับ ก็ต้องขับมาที่สนามบิน แวะเติมน้ำมันให้เต็มถังแล้วก็โทรฯเข้าไปที่เค้าน์เตอร์ของ Avis ซึ่งจะมีให้มาพร้อมกับเอกสารตอนรับรถเพื่อแจ้งคืนรถได้เลย เพราะจะได้ไม่ต้องรอพนักงานออกมารับรถนานเกินไปนั่นเองค่ะ
ขอบคุณ Avis Rent a Car สำหรับรถเช่าคุณภาพดีราคาประหยัด
ขอบคุณเพื่อนที่ให้พาเที่ยว และเป็นคนขับรถในทริปนี้ เป็นนางแบบให้เราด้วย
ขอบคุณสภาพอากาศ ที่แม้จะมาช่วงหน้าฝนก็เจอแค่ฝนปรอยๆน้อยมาก
ขอบคุณตัวเอง ที่ตัดสินใจมา และตั้งใจทำแผนการท่องเที่ยวเพื่อทริปกระบี่ครั้งแรกของเพื่อน จนได้นำกลับมาเล่าต่อแบบนี้
และสุดท้าย ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและชมจนจบด้วยนะคะ ^___^