นางพญาเสือโคร่ง เชียงใหม่
ออกตามหา “นางพญาเสือโคร่ง” เชียงใหม่ 2017
(พระตำหนักดอยผาตั้ง-ศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี-แม่จอนหลวง-ขุนวาง-ดอยแม่ตะมาน-ขุนช่างเคี่ยน)
บันทึกการเดินทางฉบับเพ้อๆ ตอน “ออกตามหานางพญาเสือโคร่ง เชียงใหม่” (เดินทางเมื่อปี พ.ศ. 2560)
นางพญาเสือโคร่ง หรือ ซากุระเมืองไทย คือความมุ้งมิ้งของดอกไม้สีชมพูที่หาดูได้จำนวนมาก ทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ สามารถเที่ยวชมได้หลายจุดด้วยกัน และในครั้งนี้เราถือโอกาสจากการจองตั๋วเครื่องบินโปรฯ 0 บาท เอาไว้ข้ามปี วางแผนมาหลายเดือนว่าจะต้องไปดูใกล้ๆให้เห็นกับตาจนกว่าจะหนำใจให้ได้ ซึ่งเพิ่งจะสรุปได้เมื่อไม่กี่วันก่อนเดินทาง เนื่องจากมีคนตกล่องปล่องชิ้นพร้อมจะบินไปด้วยกัน ไม่ต้องเตร็ดเตร่ไปคนเดียวสบายหน่อย (ขอบคุณมากนะคะ)
จากการหาข้อมูลต่างๆ ดูแผนที่การเดินทางพร้อมเช็คข้อมูลอัพเดทการบานของดอกนางพญาเสือโคร่งในแต่ละพื้นที่ รวมถึงเรื่องที่พัก ยังไงก็ได้ที่ไม่แพง และไม่ต้องหอบเต็นท์ไปเอง ก็ทำให้เราสรุปการเดินทางออกมากัน ดังนี้
วันที่ 1 : พักในเมือง (เดินทางไปถึงตอนเย็น) – เดินเล่นถนนคนเดินวัวลาย
วันที่ 2 : เดินทางไปอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยไปทาง อ.จอมทอง – พระตำหนักดอยผาตั้ง – ศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี – ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ แม่จอนหลวง – พักที่ผาซากุระขุนวาง
วันที่ 3 : ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ขุนวาง – มุ่งหน้าสู่ดอยแม่ตะมาน จากเส้นทาง อ.แม่วาง – ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน – พักที่สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ
วันที่ 4 : ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ – มุ่งหน้าสู่สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูง ขุนช่างเคี่ยน – เดินทางกลับ
การเดินทางในครั้งนี้ ผู้ร่วมทริปต้องการใช้พลังขับเคลื่อน 2 ล้อ ระบบความแรงสูงพอประมาณ สมรรถนะดี ขึ้นเขาได้สบายฉิว จึงจัด Zoomer X วันละ 300 บาท มาจากร้าน ไบกี้ เป็นที่รู้จักกันในหมู่นักท่องเที่ยวที่นิยมเช่ามอเตอร์ไซค์เดินทางจากเชียงใหม่ มีตั้ง 3 สาขา
เราจะพาคุณมาเดินทาง บุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย ออกไปตามหานางพญาเสือโคร่งด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้ว ลุย!!!
วันแรกของการเดินทาง : ไฟลท์เย็น – ถนนคนเดินวัวลาย – พักในเมือง
เนื่องจากเรากับผู้ร่วมทริปเดินทางคนละเที่ยวบินกัน เรามาถึงก่อนจึงเข้าที่พักก่อน โดยการใช้บริการรถแดงจากสนามบินค่ะ
“รถแดง แห่งเชียงใหม่” หลายๆคนที่เคยขึ้น หรือขึ้นรถแดงบ่อย คงรู้ดีว่า ตอนนี้รถแดงที่เชียงใหม่จะมีหลายแบบ มีทั้งแบบสายประจำทาง มีทั้งที่เป็นเหมือนแท็กซี่ และแบบที่วิ่งไม่ประจำทางในเมือง วันนี้จะเอ่ยถึงแบบหลัง คือแบบ ‘วิ่งไม่ประจำทางในเมือง’ ค่ะ ซึ่งบางคนเคยโดนเรียกค่ารถโหดๆก็มีมาแล้ว จึงมาบอกทริคอย่างหนึ่งสำหรับการเรียกรถแดงให้ได้ราคาซาวบาท หรือ 20 บาท คือ โบกเรียกถามไปเลยว่าจะผ่านที่ที่เราต้องการไปไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่ผ่าน ให้รอโบกเรียกถามคันใหม่ เพราะรถแดงมีวิ่งตลอด ถ้าคันไหนตอบว่าไป ก็ขึ้นไปนั่งเลย ไม่ต้องถามว่ากี่บาท พอถึงจุดหมาย ลงจากรถแล้วยื่นเงิน 20 บาท แค่นั้นจบปิ๊ง (ใช้ในกรณีที่ให้ส่งในเมือง ไม่ไกล เท่านั้นนะ)
* ปัจจุบันราคารถแดงขึ้นเป็น 30 บาท แล้วนะคะ
เมื่อออกมาจากสนามบินจะเข้าที่พักอยู่ใกล้กับถนนวัวลาย รู้มาว่ามีรถบัส B2 สีขาว จะวิ่งออกจากสนามบิน และผ่านแถวๆนั้น แต่พอถาม รปภ ที่สนามบินแล้วได้ความมาว่าวันนี้เป็นวันเด็ก รถค่อนข้างติด อาจจะต้องรอนานหน่อยนะ ไอเราก็ไม่อยากเสียเวลามาก จึงโบกรถแดงคันที่พอจะมีคนนั่งอยู่ บอกทางที่ต้องการไป คุยกันรู้เรื่องก็ขึ้นรถ (ศึกษาเส้นทางมาบ้างแล้ว) รถออกไปเลยเส้นทางจุดหมายของเรา ก็เข้าใจว่า ‘อ๋อ คุณลุงคงจะขับไปส่งคนอื่นก่อน แล้วเดี๋ยวคงวกไปส่งเรา’ ..ไม่ถึง 10 นาที คุณลุงคนขับรถ จอดและลงมาบอกว่า “พอดีลุงมีคนโทรมาเรียกให้ไปอีกเส้นหนึ่งด่วน ลุงไม่ได้ผ่าน เดี๋ยวข้ามถนนไปเรียกคันใหม่นะ ลุงไม่เอาตังค์หรอก” เง้อ… โอเคค่ะ อย่างน้อยลุงก็ไม่คิดเงิน จากนั้นได้ขึ้นรถแดงคันใหม่ วนไปค่อนคูเมืองแล้วจอดฝั่งตรงข้ามทางเข้าถนนคนเดิน ลงมาบอกว่าไปไม่ถึงอีกแล้ว แต่ไม่คิดเงิน โอเคไม่เป็นไร เพราะไม่คิดเงิน คราวนี้ข้ามถนนมาฝั่งถนนคนเดิน เพื่อเรียกรถแดงคันใหม่ คันแรกบอกว่าไม่ผ่าน พอคันที่สองจะไม่ไป เหมือนต้องการจะสื่อว่ามันไกล เราก็พูดไปซื่อๆว่า “ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายข้างหน้า ขับไปอีกนิดนึงก็ถึงแล้วค่ะ” คนขับรถคงเห็นว่าเรารู้ทัน ก็เลยยอมให้ขึ้น เมื่อถึงที่หมายแล้วกดกริ่ง ลงจากรถ ยื่นแบงค์ 20 ให้เท่านี้ก็ถึงที่หมายด้วยราคา ‘ซาวบาท’ จบปิ๊ง
เนื่องจากเดินทางมาถึงเชียงใหม่ช่วงเย็น จึงเลือกพักในเมืองค่ะ ประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันเสาร์ จะมีถนนคนเดินที่ถนนวัวลายด้วย จึงจองที่พักไม่ไกลจากถนนวัวลายมาในราคา 550 บาท “บุญตัน เกสต์เฮ้าส์” ราคาน่าคบหา ทำเลดี ห่างจากทางเข้าถนนคนเดินเพียง 200 เมตรเท่านั้น ห้องสะอาดสะอ้านทั้งเครื่องนอนหมอนผ้าห่ม ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ มีทีวี โต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมน้ำดื่มอีก 2 ขวด เจ้าของก็ใจดี ดูอารมณ์ดีมาก คุยกันไปก็ยิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะกันไป แถมยังมีอาหารเช้าเป็น กาแฟ โอวันติล และขนม ให้ทานรองท้องกันฟรีๆอีกด้วย ใครอยากพักในเมืองที่ราคาไม่แพงและสะอาดแบบนี้ แนะนำให้พิจารณาที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกนะคะ
เมื่อผู้ร่วมทริปตามมาสมทบ จึงชวนกันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ค่ำแล้วอากาศเย็นสบาย ผู้คนมากมายต่างพากันมา ร้านค้าของขายก็เหมือนๆกันกับที่ขายตรงท่าแพในคืนวันอาทิตย์นั่นแหละค่ะ ของบางอย่างแพงเกินความจำเป็น บางอย่างก็ไม่แพงไปจนน่าจับจ่าย แต่นึกถึงงบในกระเป๋าแล้ว …. ยังไม่ซื้อดีกว่า เนอะ แฮ่ๆๆ เดินกันไปได้ไม่ไกลมาก เริ่มหิว แต่เห็นราคาอาหารข้างในแล้วคิดว่าเดินออกไปกินร้านริมทางข้างนอกดีกว่า การเดินเล่นที่ถนนคนเดินจึงสิ้นสุดแค่ระยะประมาณ 200 เมตรเท่านั้น แหง่ว!
ได้ขนมปังปิ้ง นม เนย น้ำตาล ช็อกโกแลตมาทานรองท้องเบาๆ (นี่เบาแล้วเหรอ!!)
เดินออกมากระทั่งเจอร้านอาหารตามสั่ง แรกๆก็ลังเลว่าจะกินราดหน้าร้านเล็กๆ หรือจะกินอาหารตามสั่งร้านใหญ่นี้ดี ด้วยความตะหนี่ของเราจึงลองเดินเข้าไปถามราคาจากพนักงานของร้านที่กำลังนั่งพักทานข้าวอยู่หลังร้าน (ขอเสียมารยาทนิดนึงนะคะ) “ขอโทษนะคะ อาหารตามสั่งที่นี่จานละประมาณกี่บาทคะ” พนักงานหนุ่มหยุดทานข้าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมาสบตาตอบคำถาม “30 บาทครับ” .. โอเค ราคาผ่าน อย่างนี้ต้องจัด .. เดินดิ่งเข้าไปนั่งในร้านด้วยความสบายใจว่ามื้อนี้ไม่แพง ยิ้มได้ ^^
จัดผัดผักรวมหมูกรอบราดข้าวกันคนละจาน รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ “โห!!” ทั้งคู่อุทานพร้อมกันเมื่อได้เห็นอาหารจานที่สั่งกันไป คือได้เยอะมาก! ข้าวพูนจานราดผัดผักมาอย่างเยอะ แถมมีน้ำซุปให้ด้วย รสชาติก็อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ลองทายราคากันเล่นๆว่าน่าจะสัก 50 บาทได้นะ เพราะเยอะมากใส่หมูกรอบด้วย ปรากฎว่าทายผิดจังๆ จานนี้ 30 บาท ห๊า!! แค่ 30 บาท!!!
ลองปักหมุดจากที่พัก แค่ 160 เมตรเอง ร้านอาหารในเชียงใหม่ราคาถูก อร่อย ได้เยอะ บอกพิกัดเลยค่ะ “ร้านสุรีรัตน์ โภชนา” ที่อยู่ 196 ถ.ทิพย์เนตร ต.หายยา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ 50100 โทร 085-152-4492
วันที่ 2 ของการเดินทาง : เดินทางไปอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โดยไปทาง อ.จอมทอง – พระตำหนักดอยผาตั้ง – ศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี – ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ แม่จอนหลวง – พักที่ซากุระขุนวาง
วันนี้ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อให้มีเวลาถ่ายรูปและชมวิวกันได้นานๆหน่อย โดยใช้เส้นทาง 3035 ต่อด้วย 108 เข้าทางอำเภอจอมทอง ขึ้นไปที่ “พระตำหนักดอยผาตั้ง” หรือ เรือนประทับแรม ดอยผาตั้ง กันก่อนค่ะ จุดสังเกตคือ ผ่านตลาดม้งก่อนแล้วจะมีทางแยกไปทางซ้ายมือ มีป้ายบอกทางอยู่ค่ะ ทางขึ้นไปค่อนข้างคดเคี้ยวเล็กน้อย แต่จะพบกับความชะอุ่มตลอดสองข้างทาง มีทิวสนหลายชนิดให้ได้ชมความงดงามจนกระทั่งถึงเรือนประทับแรมเลยค่ะ
เดือนที่แล้วขึ้นมาเจอน้องแกะอยู่เต็มไปหมดเลย ครั้งนี้ไม่รู้ว่าน้องแกะหายไปไหน แต่ได้ชมความงาม สีชมพูหวานแหววของดอกนางพญาเสือโคร่งแทน เสียดายที่ยังบานดอกไม่เต็มที่ บางต้นยังไม่มีดอกเลยด้วยซ้ำ
บางต้นบานดอกเต็มต้น มีนกน้อยชื่อว่า “นกแว่นตาขาว สีทอง” เกาะดูดน้ำหวานและกินแมลงอยู่เยอะมาก การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีเสียงนกเล็กๆร้องคลอไปด้วยนี่ ได้อารมณ์สุนทรีย์ในการท่องเที่ยวมากเลยนะคะ
บริเวณด้านหลังเรือนประทับแรม ก็มีต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่เช่นกัน
ที่นี่มีลานสนามหญ้ากว้างๆ บ้างก็มานั่งเล่น เดินเล่น ถ่ายรูปเล่น เรานึกถึงการนั่งปิคนิคใต้ต้นซากุระแล้วมีกลีบซากุระร่วงมาพลิ้วๆ โรแมนติกนะเนี่ย..
มองๆไปก็ให้อารมณ์เหมือนอยู่ญี่ปุ่นนะ ดอกสีชมพูๆตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า ทำให้รู้สึกมุ้งมิ้งหวานขึ้นตา แบบ..มองแล้วอมยิ้มตาเป็นประกายวิ้งๆเลย
ภาพมุมนี้ชวนให้นึกถึงภาพวาดสไตล์ญี่ปุ่น ตวัดปลายพู่กันแล้วแต้มด้วยสีชมพูระเรื่อๆให้เป็นกลีบดอกไม้
‘เราจะไปหาน้องแกะๆๆๆ น้องแกะหายไปไหน’ เดินไปถามเจ้าหน้าที่ แล้วไปตามทางที่เจ้าหน้าที่บอกทันที โดยขับลงมาทางที่ขึ้นไปตอนแรก คือ เมื่อลงมาแล้วสังเกตทางขวามือจะมีทางราดซีเมนต์ลงไป แล้วก็จะได้พบกับน้องแกะ และวิวสวยๆ สวยมาก อารมณ์เหมือนอยู่ต่างประเทศเลย อ๊า….
ดูน้องแกะใกล้ๆสิ น่ารักจัง แม้ขนจะแลดูเลอะเทอะไปหน่อยแต่ก็ยังน่ารักเนอะ
ใช้เวลาอยู่ที่พระตำหนักดอยผาตั้งทั้งหมดประมาณชั่วโมงครึ่ง จากนั้นออกเดินทางไปต่อกันที่ “ศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี”
ใช้เส้นทางเดิมย้อนกลับออกไป ผ่านครัวริมธารดอยอินทนนท์ ผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติ แล้วจะเจอแยกทางซ้ายมือ ไปทาง “บ้านขุนกลาง-บ้านขุนวาง” (มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ดอยอินทนนท์ อยู่ปากทาง) แล้วแวะทานข้าวกลางวันกันที่ร้านป้าดีอาหารตามสั่ง พอเลี้ยวซ้ายเข้าไปนิดเดียวก็จะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือค่ะ
จานละ 40 บาท เพิ่มไข่อีก 10 บาท อิ่มกำลังดี รสชาติใช้ได้ ราคาไม่แพง อิ่มแล้วก็ไปต่อๆๆๆ
ปีนี้ ศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี มีนางพญาเสือโคร่งบานดอกตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้ว มาถึงต้นมกราคมก็ร่วงโรยไปเกือบหมด แต่ยังพอมีให้ได้ชมกันอยู่บ้างหรอมแหรม แอบเศร้า…
แต่ก็ยังพอมีให้ชมอยู่บ้างค่ะ ไม่ทำให้รู้สึกเสียเที่ยว ยังมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนกันเข้ามาชมความงามของนางพญาเสือโคร่งที่นี่อยู่เรื่อยๆ
และมีน้องหมาเดินเล่นกัน น่ารักเชียว สันนิษฐานว่าเป็นน้องหมาของที่นี่เพราะมาเมื่อเดือนก่อนก็เห็นสองตัวนี้อยู่ที่นี่เหมือนกันนะคะ
มาเข้าที่พักของเราในวันนี้กันก่อนค่ะ กะจะแวะมาดูเต็นท์หลังที่จองไว้ เอากระเป๋าเก็บแล้วไปที่อื่นกันต่อ แต่พอเห็นวิวที่นี่แล้ว พักกันนานเลยเชียว
คืนนี้เราพักกันที่ “ผาซากุระขุนวาง” ถ้าออกมาจากศูนย์อนุรักษ์กล้วยไม้รองเท้านารี มุ่งหน้าไปทางขุนวาง ผาซากุระขุนวางจะอยู่ทางขวามือ
มีต้นนางพญาเสือโคร่งกำลังบานสะพรั่งอยู่หลายต้นเลยค่ะ ชื่นใจมากจริงๆ มาเจอที่นี่ดูเหมือนจะบานดอกมากกว่าที่อื่นๆเลยด้วย
“ผาซากุระขุนวาง” มีเต็นท์ให้เช่าพร้อมเครื่องนอน สำหรับ 2 คน ราคา 350 บาท / สำหรับ 3-4 คน 500 บาท (เราว่าแค่หลังละ 350 ก็ค่อนข้างใหญ่แล้วนะ นอน 2 คนนี่หลวมๆสบายๆเลย) หรือจะเอาเต็นท์ไปเองก็จะจ่ายแค่ค่าสถานที่คนละ 100 บาทค่ะ ห้องอาบน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น และยังมีบ้านพักเป็นบ้านดินไว้ให้บริการด้วย ต้องสอบถามราคากันดูอีกทีนะคะ ติดต่อที่เบอร์ 0887585447, 0861944842 / [email protected]/ https://www.facebook.com/ขุนวางบ้านดินโฮมสเตย์แอนด์แคมป์ปิ้ง-342466229290643/ / http://www.khunwang.com/
เดินเข้าไปติดต่อแล้วก็มีคนพาไปเลือกเต็นท์ ที่อยู่ลานด้านบนต้องเดินขึ้นไปบนเนินนิดนึง ทำเลดีเลยค่ะ ที่นี่จะกางเต็นท์ไว้ให้อยู่แล้วแต่ถ้าอยากเปลี่ยนทำเลที่กางเต็นท์ก็สามารถขยับเลื่อนไปได้ตามใจชอบ
เราจองราคา 350 บาทเอาไว้ค่ะ เลือกหลังนี้เลยสีน้ำเงิน มองเห็นวิวดอยและนางพญาเสือโคร่งอยู่ด้านหน้า
อยู่ชื่นชมจนสมอุรากันแล้วก็ได้เวลาไปยังจุดต่อไป คือ “ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ แม่จอนหลวง” ระยะทางอยู่ห่างออกไปประมาณ 11 กิโลเมตร แต่เส้นทางช่วงใกล้ๆถึงนั้นจะค่อนข้างขรุขระและคดเคี้ยวนิดหน่อยค่ะ เมื่อมาถึงก็งงๆทิศทางกันเล็กน้อยก่อนจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณร้านอาหาร ได้รับคำแนะนำมาว่าให้เดินไปชมนางพญาเสือโคร่งสีขาว เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ
และช่วงเย็นสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกแบบสวยๆได้ตรงจุดชมวิวด้านหลัง
พวกเราเดินไปทางนางพญาเสือโคร่งสีขาวกันก่อนค่ะ ยืนถ่ายรูปกันอยู่สักพัก ได้ยินเสียง ‘กึงๆๆๆ’ แล้วรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย ผู้ร่วมทริปตะโกนเรียกให้ออกมาๆ ในขณะที่เรายังยืนงงอยู่ เสียงมันเหมือนเสียงไกลๆเวลามีการระเบิดหินที่เหมือง เพราะตอนเด็กๆอยู่บ้านจะได้ยินเสียงแบบนี้บ่อย แต่นี่มันไม่ใช่ไง!!! นี่มันแผ่นดินไหวไง!! จากนั้นก็ยังได้ยินเสียงเรื่อยๆ แต่ไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนแล้ว
ไม่นานนักก็มีข่าวออกมาว่า “15 ม.ค. 2560 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.2 ในระดับความลึก 4 กิโลเมตร บริเวณบ้านห้วยทราย ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์” นับว่าเป็นประสบการณ์แรกของชีวิต ที่อยู่ในสถานที่ซึ่งรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของการเกิดแผ่นดินไหวแม้จะไม่ได้หนักมาก แต่มันก็ทำให้อกสั่นได้เหมือนกัน
เรายังคงเดินชมวิวกันต่ออีกสักพักพอให้ได้อิ่มเอมกับบรรยากาศของแม่จอนหลวง ทั้งที่ในใจก็นึกหวั่นเกรงกับอาฟเตอร์ช็อคที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาอีกเมื่อไรก็ไม่รู้
เผอิญผู้ร่วมทริปเข้าห้องน้ำไปปลดทุกข์หนัก ฮ่าๆๆๆๆ ต้องหาที่นั่งรอแล้วก็เหลือบไปเห็นที่นั่งใต้ต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ ที่นี่มีต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้น ถ้าเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคงจะสวยน่าดู
ใจจริงอยากอยู่ดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ แต่นึกถึงถนนหนทางที่จะต้องกลับออกไปแล้ว จำใจต้องกลับกันก่อนค่ำ และมาแวะทานข้าวเย็นกันที่ตลาด บริเวณปากทางเข้า ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ขุนวาง ค่ะ ที่นี่มีพืชผักผลไม้ของชาวบ้านละแวกนั้นวางขายกันหลายร้าน
มีร้านอาหารด้วย ราคาก็กลางๆค่ะ ประมาณ 40 บาท
สุ่มเลือกเอาเลยสักร้านหนึ่งเพราะหิวมากแล้ว จัดอาหารจานโปรดผัดผักรวมไปออกมาหน้ามาประมาณนี้ รวมผักที่มีอยู่มากในย่านนี้ ดูน่าทานดีเหมือนกันนะรสชาติก็ไม่ได้แย่นะคะ ทานร้อนๆตอนอากาศเย็นๆนี่คืออร่อยได้ทุกอย่างจริงๆ
ค่ำคืนนี้หนาวมาก กลางวัน 14 องศาเซลเซียส พอตกกลางคืนก็ลงไปเหลือต่ำกว่า 10 องศาแล้ว อารมณ์อยากนั่งผิงไฟก็บังเกิดขึ้น
ชวนกันนั่งก่อไฟต้มน้ำร้อน ใส่มาม่า ต้มไข่กินกัน ผิงไฟอุ่นๆตอนอากาศเย็นๆแบบนี้มันใช่เลย … โอ๊ย หนาวจนมือสั่น ถ่ายรูปไข่ยังเบลอเลย
นั่งๆกันไปสักพัก “นั่นอะไรอะ!” ผู้ร่วมทริปพูดพรางชี้นิ้วให้หันไปมอง ภาพที่เห็นเป็นแสงส้มๆที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมา ทายกันว่าเป็นดวงจันทร์ แต่ทั้งสีและขนาดรวมถึงการเคลื่อนที่แบบค่อยๆโผล่ออกมา มันดูน่ากลัวกว่าที่จะรู้สึกถึงความสวยงามในแว๊บแรกนะ ฮ่าๆๆๆ นึกว่า UFO ปั๊ดโธ่!!!
อยากถ่ายดาว แต่ไม่ได้หอบขาตั้งกล้องมาด้วย ประกอบกับลมแรง พอเอากล้องวางที่โต๊ะแล้วตั้งสปีดชัตเตอร์ต่ำๆ ภาพเบลอไปหมดเลยจ้า ภาพมันเบลอหรือเธอไม่ชัดเจนเนี่ย (อูย…. เห็นเขาเล่นกันบ่อยๆหงะ)
หันไปยิงแฟลชใส่นางพญาเสือโคร่งดูบ้างซิ อืม…ใช้ได้ๆ แม้จะฝีมือไม่ค่อยดี แต่ก็มีความพยายามนะคะ
มันหนาวมาก เราคงเตรียมเสื้อผ้ามาหนาไม่พอกันความหนาว ขนาดจะแปรงฟันก็ยังต้องต้มน้ำอุ่นแปรง แต่พอเข้าเต็นท์นอน ใส่ถุงมือถุงเท้าเพิ่มเข้าไป ห่มผ้าไปเท่านั้นแหละค่ะ นอนอุ่นหลับสบาย
วันที่ 3 ของการเดินทาง : ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ขุนวาง – มุ่งหน้าสู่ดอยแม่ตะมาน จากเส้นทาง อ.แม่วาง – ชมวิวพระอาทิตย์ตกที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน – พักที่สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ
ก็มันหนาว ก็มันยังไม่อยากลุกจากที่นอน … ตื่นสายกว่าที่คุยกันไว้เลยไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ ตื่นขึ้นมาเปิดเต็นท์ก็เห็นวิวแบบนี้ โอย…. อยู่ต่อเลยได้ไหม
รีบเก็บกระเป๋าแล้วเก็บภาพวิวที่พักไว้อีกสักหน่อย มีไร่สตรอว์เบอร์รีของชาวบ้านอยู่ด้านหลังลานกางเต็นท์ด้วยนะคะ
ขอเก็บภาพห้องน้ำ เอ้ย!! ภาพบรรยากาศของที่พักไว้อีกสักหน่อย ชอบที่นี่จริงๆแล้วสิ
แล้วก็เดินลงมาทานรองท้องด้วยมาม่าร้อนๆ เข้ากับบรรยากาศสุดๆไปเลย คิดดูสิ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นและสีชมพูสะพรั่งของดอกนางพญาเสือโคร่ง นั่งซดมาม่าร้อนๆแซ่บๆ ได้อรรถรสที่สุด
จากนั้นไปต่อกันที่ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ขุนวาง จอดรถไว้หน้าตลาดแล้วเดินดุ่มๆกันเข้าไป เจ้าหน้าที่ด้านหน้าศูนย์วิจัยบอกว่าสามารถเอารถเข้าไปจอดด้านในได้เฉพาะหน้าอาคารที่ทำการเท่านั้น ห้ามเอารถเข้าไปเพราะวันนี้มีงาน ถ้าไม่มีงานก็ขับเข้าไปได้ แต่ก็ดีนะคะ เวลาเก็บภาพกลับมาจะได้ไม่เต็มไปด้วยภาพรถไงเล่า..
เราเดินเข้าไปกันเรื่อยๆ โดยจุดมุ่งหมายคืออุโมงค์นางพญาเสือโคร่ง แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เดินๆไปนึกว่าจะใช่ตรงนี้แต่ก็ยังไม่ใช่
ที่นี่บางส่วนดอกบานจนร่วงแล้ว แต่บางส่วนก็ยังไม่ออกดอกเลย และแม้ดอกที่ร่วงลงสู่ดินก็ยังมีความงามอันเป็นเอกลักษณ์อยู่
บางต้นก็กำลังสะพรั่ง แต่สลับกันอยู่กับต้นที่ยังไม่สะพรั่ง พอดูรวมๆแล้วจึงดูเหมือนยังบานประปราย
ยังคงเดินหน้ากันต่อไปเรื่อยๆค่ะ เหงื่อเริ่มออกทั้งที่อากาศเย็น ถึงกับต้องถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกมามัดไว้ที่เอวแทน กระทั่งมาถึงจุดนี้
มีศาลานั่งพักอยู่ และกำลังมีคนรถน้ำให้ต้นคริสมาสต์ท่ามกลางแดดอุ่น (ที่อุ่นก็เพราะอากาศเย็นมาก) จึงเก็บภาพมาด้วย
และหันไปมองทางที่มีต้นนางพญาเสือโคร่งเรียงรายอยู่เป็นแถว แต่ภาพที่เห็นคือ มีดอกนางพญาเสือโคร่งออกมาเพียงราวๆ 10-20 % เท่านั้น
มาไม่ถูกจังหวะ แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรนะคะ เพราะเราเลือกมาช่วงนี้เอง มาเพราะคาดการณ์และจองตั๋วโปรโมชั่นไว้ล่วงหน้า ได้เจออากาศเย็นๆแบบนี้ก็ชื่นใจแล้ว อีกอย่าง ครั้งนี้ถือว่ามาดูลาดเลาจะได้รู้ทิศรู้ทางมากขึ้น โอกาสหน้าค่อยมาหาใหม่ ส่วนตอนนี้มองหามุมที่มีดอกและส่องกล้องไปลั่นชัตเตอร์ก่อนก็แล้วกันเนอะ
มองลงไปยังศาลา ได้อารมณ์เหมือนอยู่ญี่ปุ่นอีกแล้วสิ
ภาพมุมกว้าง จากมุมเดียวกันกับภาพด้านบนเป็นแบบนี้ค่ะ มีว่าที่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันด้วย
ออกเดินทางกันต่อค่ะ วันนี้เราจะยิงไกลไปขึ้น “ดอยแม่ตะมาน” กันนะคะ ถ้าใครเดินทางด้วยการเปิด GPS นำทาง แนะนำให้ปักหมุดที่ “สถานีเกษตรที่สูง ม.ช.” ในกูเกิ้ลแม็ปจะขึ้นเส้นทางนี้มาให้ แต่เราไปกันอีกเส้นทางหนึ่ง ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 164 กิโลเมตร ดูเหมือนจะไกลนะ แต่ก็ไปกันเรื่อยๆ
มาแวะหาอะไรทานกันที่ ‘แม่มาลัยพลาซ่า’ อยู่ก่อนถึงตลาดแม่มาลัยค่ะ แวะพักรถไปด้วย เข้ามาเจอตลาดนัดพอดี มีมินิบิ๊กซีให้แวะซื้อน้ำก่อนขึ้นไปด้วย ราคาของที่ขายในตลาดนัดที่นี่ไม่แพงเลย น่ากินหลายอย่างด้วย ทั้งผัก ผลไม้ ขนม อาหารทั่วไป และอาหารพื้นเมือง
หลังจากทานอิ่มและซื้อของเตรียมพร้อม ก็ได้เวลาซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปกันต่อ ซึ่งเรียกได้ว่าขับไปถามทางไปเรื่อยๆค่ะ หลงบ้าง งงทางบ้าง แต่ก็ได้เจอคุณลุงใจดีขับนำทางเข้าไประยะหนึ่ง และบอกทางไปต่อให้จนเป็นเส้นทางประมาณนี้ค่ะ
ไปเข้าซะ
นู่น….เลย ผ่านวัดจอมคีรีนู่น
คือ ขึ้นทางเด่นหญ้าขัด ถ้าดูภาพแผนที่จะเป็นทางไล่สันดอยหลวงเชียงดาวขึ้นไปแล้วเลี้ยวเข้าดอยแม่ตะมานนั่นเอง เมื่อเจอป้อมเจ้าหน้าที่ตรง ‘จุดตรวจสัตว์ป่าจอมคีรี’ ถือเป็นจุดเริ่มต้น “เด่นหญ้าขัด 20 กม. ลานเกษตรฯสันป่าเกี๊ยะ 23 กม.” ตามทางขึ้นไปเลยค่ะ
โชคดีที่ไม่เจอฝน มิฉะนั้นคงขึ้นลำบากหากทางลื่น ระยะทางยี่สิบกว่ากิโลเมตรดูเหมือนไกลด้วยเหตุเพราะเป็นทางคดเคี้ยว ทางดินสลับทางซีเมนต์ไปเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าช่วงที่ลาดชันหน่อยจะเป็นทางซีเมนต์ เหมือนจะสบายๆ
ขับไปคุยกันไปเรื่อยๆกระทั่ง … “ครืด…… อุ๊บ!!” ไม่ต้องสงสัย อย่างที่เข้าใจเลยจ้า อยากสัมผัสพื้นถนนว่านอนสบายไหม ไรงี้ ฮ่าๆๆๆ ฮาก็แต่คนขับ พูดอะไรก็ไม่รู้แทบตลอดทางแล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนเม้าอะไรมาคนเดียวแล้วพอล้มลงไปเท่านั้นแหละ เงียบเลย หน้านิ่ง อึ้งไปเลย นึกถึงทีไรก็ขำทุกทีสิแหม่ (อุ๊ย แอบนินทาด้วยแหละ ถ้าผ่านมาอ่านก็ข้ามๆไปนะคะ ^^”) แต่ก็ยังดีที่ไม่เป็นอะไรกันมากนะ เราได้แผลแค่ตรงสันมือนิดหน่อย ส่วนคนขับได้แผลที่เข่า ขา และคงช้ำๆที่หน้าอกทางขวา ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะลื่นกองหินที่เจ้าหน้าที่เทไว้เพื่อทำทางซีเมนต์ช่วงนั้นอยู่นั่นเองค่ะ ไม่มีใครเห็นนะ แต่คิดว่าพวกพี่ๆเขาคงได้ยินเสียงกันแน่ๆ รีบลุกขึ้น ปัดฝุ่น เช็คร่างกายแล้วเดินทางกันต่อเลยจ้า สายลุยต้องสตรองสิจ๊ะ
ขึ้นไปได้สักระยะถึงจะเจอป้ายบอกว่ากำลังทำทางอยู่ หึๆๆๆ
คือเราขึ้นมาจากจอมคีรี แต่มีป้ายอยู่แค่จุดนี้ ทางแยกไปเด่นหญ้าขัด คนลงหนะจะรู้แต่คนขึ้นมาไม่รู้ไงคะ ฮืม…
เมื่อมาถึงแยกโรงเรียนสันป่าเกี๊ยะ แสดงว่าใกล้จะถึงแล้ว
ตะวันก็คล้อ
ค่ำลงไปทุกทีๆ มาถึงตรงนี้ เริ่มรู้สึกถึงอาการเมื่อยก้นแล้วล่ะสิ
ที่พักบนดอยแม่ตะมาน มี 2 ที่
1. หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน: จุดนี้จะมีต้นนางพญาเสือโคร่งอยู่หลายต้น และเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก มีบ้านพัก 3 หลัง สามารถให้ค่าที่พักได้ตามสมควร (เท่าไรก็ได้ที่ไม่ดูน่าเกลียดไป) แต่จะคิดค่าบริการอาหารคนละ 500 บาทค่ะ เบอร์โทร 089-854-4014 คุณวิมลมาศ
2. สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ: จุดนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกล และยังสามารถมองเห็นดอยหลวงเชียงดาวได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ที่นี่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์วิจัยและฝึกอบรมที่สูง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 053-222-014 โดยมีที่พัก 3 แบบ คือ
– บ้านพักแบบเก่า นอนได้ 5 ท่าน มีอุปกรณ์ทำครัว และห้องน้ำในตัว ราคา 1,000 บาท
– บ้านพักแบบใหม่ นอนได้ 5 ท่าน มีอุปกรณ์ทำครัว และห้องน้ำในตัว ราคา 1,000 บาท
– ห้องพักแบบเรือนแถว มี 4 ห้อง นอนได้ 5 ท่าน ห้องน้ำรวม ราคา 500 บาท
– เช่าพื้นที่กางเต็นท์ (ต้องเอาเต็นท์มาเอง ไม่มีให้บริการ) หลังเล็ก 100 บาท หลังใหญ่ คนละ 50 บาท
* ที่นี่ไม่มีอาหารและน้ำดื่มขายนะคะ ต้องเตรียมขึ้นมากันเอง
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากตัวเมืองเชียงใหม่ ก็ขึ้นมาถึงที่หมายของเรา ที่พักที่จองเอาไว้เป็นเรือนแถว มีห้องแบบนอนฟูก กับนอนเตียง เราเลือกแบบนอนเตียง มี 5 เตียง ให้ความรู้สึกเหมือนห้องนอนเข้าค่ายในโรงเรียน ดูน่ารักดีนะคะ ใช้ห้องน้ำรวมไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มันท้าทายดีมากเวลาอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ถ้านอนอยู่บ้านเฉยๆคุณจะไม่ได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เลย เชื่อสิ แหะๆๆ
ภายในห้องพัก มีเตียงขนาด 3.5 ฟุต ทั้งหมด 5 เตียง เรียงกันอยู่สองฝั่ง พร้อมที่นอน หมอน ผ้าห่ม
ไม่มีพัดลม แต่
เชื่อเถอะค่ะว่าอากาศข้างนอกนั้นเย็นเข้ามาถึงข้างในห้องจนลืมพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศไปได้เลย
ให้ดูบ้านพักกันค่ะ ทางนี้จะมองเห็นหลังแบบใหม่ และแบบเก่า ตามลำดับจากซ้ายไปขวา
และหลังนี้แบบใหม่ มีวิวหน้าบ้านสวยมาก มองเห็นดอยหลวงเชียงดาวชัดแจ่ม
ไฮไลท์องที่นี่ “ดอยหลวงเชียงดาว” ยามเย็น เห็นแล้วต้องร้อง ว้าวววว….!!
เข้าที่พักเก็บกระเป๋าแล้วไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน พบกับต้นนางพญาเสือโคร่งที่กำลังบานดอกอยู่หลายต้นเลย แต่เวลาใกล้ค่ำแล้วประกอบกับใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่าย ภาพจึงออกมาไม่ชัด แต่สถานที่จริงสวยมาก
เรามาถึงกันช้าไปนิด พอจะได้เห็นเพียงแสงสีทองของตะวันที่โบกมือบ๊ายบายไปแล้ว แต่เท่านี้ก็ดีต่อใจแล้วจริงๆ
ซูมเข้าไปหาใกล้ๆ เหมือนจะทำให้คลายหนาวได้อย่างงั้นแหละ แหม… แต่ก็จริงนะคะ ชมความงดงามของบรรยากาศจนเกือบจะลืมความหนาวเย็นไปชั่วขณะ
ที่นี่ นอกจากสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามแล้ว ยังสามารถมองเห็นต้นพญาเสือโคร่งบานดอกอยู่อีกหลายต้นเลยด้วย ถ้ามาถูกช่วงถูกจังหวะ ก็จะเห็นสีชมพูสะพรั่งอยู่ละลานตาเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากลับแสงทองของตะวันไปแล้วก็พากันกลับเข้าที่พักอีกครั้ง ที่นี่มีเตาอั้งโล่พร้อมถ่านให้เช่า ในราคา 80 บาทค่ะ เราซื้อของกินขึ้นมากันเรียบร้อยแล้ว แต่ไปขอเช่าเตามาต้มน้ำและนั่งผิงไฟเล่น ส่วนหม้อ จาน ชาม ช้อน สามารถเดินไปหยิบหน้าโรงครัวได้เลยค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่า ‘เข้าไปเปิดเตาแก๊สข้างในต้มก็ได้ หม้อเหม้ออะไรหยิบเอาไปใช้ได้เลย’ แต่ดูๆไปแล้วในครัวที่เขาบอก มันมืดๆวังเวงๆพิกล เลยไม่เข้าไป มาใช้เตาอั้งโล่สบายใจกว่ากันเยอะเลย
ภาพบางส่วนของ อาหารของพวกเราในค่ำคืนนี้ ที่ได้มาจากตลาดแม่มาลัยพลาซ่า ย้ำว่านี่คือบางส่วนเท่านั้นค่ะ
ที่นี่สามารถมองเห็นดาวได้เยอะเหมือนกันนะคะ แต่เสียดายที่ไม่ได้แบกขาตั้งกล้องมาด้วย ลองเอากล้องไปหาที่วางส่องแล้วก็ไม่เวิร์ค ได้มาแค่นี้ เก็บพระจันทร์มาได้ไกลๆ สีส้มสดใสเชียวแหละ
พอถึงเวลา 4 ทุ่ม ไฟฟ้าก็ถูกตัดไป ทั้งบ้าน ทั้งเต็นท์ทุกหลังเงียบกันหมด (เหลือเพียงห้องข้างๆ แก๊งค์สาวๆน่าจะตั้งวงสรวลเสเฮฮาด้วยเครื่องดื่มกันอยู่ เราได้กลิ่นตอนเดินผ่าน ฮ่าๆ)
วันที่ 4 ของการเดินทาง : ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ – มุ่งหน้าสู่ขุนช่างเคี่ยน – เดินทางกลับ
วันนี้ตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อชวนกันออกไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
ตะวันลอยขึ้นดวงแดงๆ ค่อยๆแยงแสงโผล่จากกลีบเมฆ ดั่งต้องมนต์ให้หลงรักจากการเสก อมยิ้มเฉกเช่นดังหลงสตรี (กลอนนี้พี่แต่งเอง ฮ่าๆๆๆ)
มองเห็นทะเลหมอกไกลๆด้วย เสียดายที่ทะเลหมอกมีไม่มากพอที่จะไหลมาทางดอยหลวงเชียงดาว ลอยอยู่เพียงแค่บริเวณอีกด้านหนึ่งเท่านั้น
แต่ทุกสิ่งก็ดูงดงามขึ้นมาพลัน ยามดวงตะวันค่อยๆขยับตัวออกมาทักทาย เหมือนเราได้อยู่อีกโลกที่ไม่ต้องเผชิญกับเรื่องราวหนักๆอย่างที่เป็นมาอยู่แทบทุกวัน เหมือนเวลามันหมุนช้าๆให้เราได้หายใจอย่างเต็มปอด สูดอากาศแห่งความสุขได้อย่างเต็มที่
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้นก็เริ่มมองเห็นภาพรอบๆชัดขึ้น รวมถึงนางพญาเสือโคร่งที่กำลังเบ่งบาน
แม้จะมีให้ชมไม่มาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าความงดงามที่มีนั้นน้อยกว่าที่ไหนๆ
มองไปทางดอยหลวงเชียงดาว อู้หู…… เป็นวิวที่สุดยอดสำหรับเรามาก บรรยายไม่ถูกว่าภาพนี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร บอกได้แค่ว่ามันฟินมาก
สำหรับคนที่เคยมาเห็นวิวแบบนี้ด้วยตาของตัวเองแล้ว คงจะรู้สึกไม่ต่างกันกับเราสักเท่าไร เหมือนภาพในฝันเกินจะบรรยายความรู้สึกตอนนั้นได้
ดอกคอสมอสหรือดาวกระจายสีขาวและสีชมพู ก็ช่วยเสริมทัพจากนางพญาเสือโคร่ง ชวนให้บรรยากาศดูโรแมนติกเข้าไปใหญ่
การถือกล้องส่องเลนส์ของเราในช่วงเวลานั้น ไม่ใช่เพราะต้องการให้ได้ภาพมากที่สุด แต่เป็นเพราะอยากเก็บภาพสวยๆแบบนี้กลับไปไว้นั่งดูนอนดูให้นึกถึงความรู้สึกแบบนี้อีก แม้รู้ดีว่าภาพถ่ายมันสวยไม่เท่าภาพสถานที่จริงก็ตาม
ราวๆ 8 โมงครึ่ง ได้เวลาเก็บกระเป๋าเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กันแล้วค่ะ จำใจต้องลาที่นี่ไปก่อน ดอยแม่ตะมาน เป็นอีกสถานที่ ที่เราจะไม่ลืมไปจากใจเลยจริงๆ
เมื่อมาถึงดอยสุเทพ ก็เริ่มใจชื้นแล้ว เพราะเข้าไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตรก็จะถึง “ขุนช่างเคี่ยน” แล้ว ขุนช่างเคี่ยน หรือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้เส้นทางเดียวกันกับ พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเศน์ และหมู่บ้านม้งดอยปุย นั่นเองค่ะ ทางเข้ามาจะเป็นทางแคบๆ คดเคี้ยว ช่วงโค้งจะต้องใช้เสียงแตรเพื่อเป็นสัญญาณว่ารถเรามา หากมีรถกำลังจะสวนมาก็จะให้สัญญาณด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งจะเป็นที่รู้กันว่าต้องค่อยๆขับเบี่ยงออกข้างทางเพื่อให้รถวิ่งสวนกันไปได้ ขาเข้าก็ไม่เท่าไรนะคะ แต่ขาออกมันจะอยู่ฝั่งด้านนอก สมมุติถ้าพลาดคือพลัดตกลงดอยไปได้เลย บึ๋ยๆ
ช่วงที่เราเดินทางมากันนี้ นางพญาเสือโคร่งต้นใหญ่ยังมัวเอียงอายขวยเขิน ไม่ยอมบานดอกให้เชยชมจึงไม่สมอุรา อุตส่าห์ดั้นด้นมาหาก็ยังได้ยลโฉมเพียงต้นเล็กๆด้านล่างเท่านั้น
“น้ำมันจะหมด” ผู้ร่วมทริปพูดพรางทำสีหน้าเป็นกังวล แต่โชคดีที่ขับเข้าไปอีกหน่อยจะมีร้านน้ำมันปั๊มหลอดอยู่ภายในหมู่บ้าน โล่งอกไปที กระทั่งถึงเวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง ก็ได้เวลากลับเข้าสนามบิน ขอแวะร้านยาซื้อยาไว้ให้ผู้ร่วมทริปทำแผลก่อนสักหน่อย เพราะเห็นใจ อุตส่าห์ไปด้วยกันแต่ดันเจ็บอยู่คนเดียว หมดฤทธิ์ไหม ถามใจเธอดู
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้ค่ะ