Hotel,  Restaurant,  travel story

เที่ยวสงขลา-หาดใหญ่ พักสบาย ได้เที่ยวชิล ชมวิวสวยๆ

เที่ยวสงขลา-หาดใหญ่

พักสบาย ได้เที่ยวชิล ชมวิวสวยๆ

 

ปัจจุบัน จังหวัดสงขลามีสนามบิน 2 แห่ง คือที่ อำเภอเมืองสงขลา เป็นท่าอากาศยานในการดูแลของกองทัพเรือไทย ไม่มีสายการบินพาณิชย์เปิดให้บริการ และมีที่อำเภอหาดใหญ่ ดังนั้นหากต้องการเดินทางไปเที่ยวจังหวัดสงขลาทางอากาศ จะต้องไปลงที่หาดใหญ่ ทริปนี้จึงเน้นเดินทางท่องเที่ยวที่ อ.หาดใหญ่ และ อ.เมืองสงขลา ในเวลา 3 วัน 2 คืน (จองโปรฯบิน 0 บาท ข้ามปีเอาไว้) โดยใช้บริการรถเช่าของ Avis รถเช่าที่หนึ่งในใจเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเช่ารถขับที่ไหนในไทย จะได้รถใหม่ และได้รับการบริการ การติดต่อสื่อสาร ที่ดีเสมอ แถมยังคืนรถช้าได้ 4 ชั่วโมง ฟรี! ถ้าโดยปกติแล้วรถเช่ามักจะคิด 1 วัน เท่ากับ 24 ชั่วโมง รับเวลาไหนก็ต้องคืนในเวลานั้น (เช่น เช่ารถ 1 วัน รับรถเวลา 09.00 น. ก็จะต้องคืนรถไม่เกิน 09.00 น. ของวันต่อมา)

 

แผนการเดินทาง เที่ยวหาดใหญ่-สงขลา 3 วัน 2 คืน

วันที่ 1

11.00 น. – รับรถเช่า Avis ที่สนามบิน

12.00 น. – ไหว้พระ และชมความงดงามของ เจดีย์สแตนเลส

13.00 น. – ข้ามไปเกาะยอ แวะไหว้พระและชมความยิ่งใหญ่ของพระนอน วัดแหลมพ้อ

13.30 น. – ทานอาหารกลางวันที่ ร้านอาหารชมจันทร์ ซีฟู้ด

14.30 น. – แวะไหว้พระทันใจ และเดินชมสะพานแดง วัดโคกเปี้ยว

15.00 น. – ไหว้พระและถ่ายรูปวัดเก่าแก่ วัดท้ายยอ

16.00 น. – ออกจากเกาะยอ เข้าที่พัก Club Tree Hotel

17.00 น. – เดินเล่น หาดชลาทัศน์

18.00 น. – ซื้ออาหารเย็นและของทานเล่น ตลาดชลาทัศน์

 

วันที่ 2

9.00 น. – เดินเล่นประตูเมืองเก่า สงขลา + ถนนนางงาม

12.00 น. – ไหว้พระธาตุ ชมวิวเมืองและวิวทะเล เขาตังกวน และศาลาวิหารแดง

12.30 น. – เดินเล่นและถ่ายรูป รูปปั้นนางเงือก แหลมสมิหลา

14.00 น. – ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไหว้พระใหญ่ สวนสาธารณะหาดใหญ่

15.30 น. – เข้าคาเฟ่เย็นๆ ที่ Space Bar

16.00 น. – เข้าที่พัก The Weenee Boutique Resort Hatyai

18.00 น. – ชมวิวพระอาทิตย์ตก มัสยิดกลาง สงขลา

19.00 น. – ทานอาหารเย็น ร้านบนเขา

20.30 น. – เดินเล่นที่ ถนนคนเดินหน้าลีการ์เด้น

 

วันที่ 3

10.00 น. – เดินซื้อของทานเล่นและของฝาก ตลาดกิมหยง

12.00 น. – ทานของหวานๆเย็นๆที่ The Balcony

13.00 น. – เข้าคาเฟ่บรรยากาศดีอีกร้าน  Foresto Cafe’

15.00 น. – คืนรถเช่าที่สนามบิน

16.00 น. – เครื่องออก

 


 

บันทึกการเดินทาง

วันที่ 1

เช็คอินตั๋วเครื่องบินและปริ๊นท์บอร์ดดิ้งพาสมาแล้วเรียบร้อยเพื่อจะได้ประหยัดเวลา แต่ก็มาเช้ากันอยู่ดี มาถึงแล้วยังมีเวลาก่อนเวลาบอร์ดดิ้ง (เวลาเรียกขึ้นเครื่อง) ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงเดินไปกินข้าวที่ศูนย์อาหาร เมจิค ฟู้ด พาร์ค ในสนามบินกันก่อน

 

ที่นี่ราคาประหยัดดี มีของกินให้เลือกหลายอย่าง อย่างข้าวมันไก่ย่างจานนี้ 50 บาท ราคาแบบนี้ในสนามบินถือว่าไม่แพงเลยนะจะบอกให้ มากินหลายครั้งแล้วก็คิดว่าที่นี่แหละ แจ่ม

 

11.00 น. – รับรถเช่า ที่สนามบิน

ใช้เวลาในการเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง นั่งหลับมาแทบตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงสนามบินหาดใหญ่ เดินออกมาจะได้พบกับเค้าน์เตอร์ Avis สีแดงเด่นๆอยู่ทางขวามือเลย เราจะทำการติดต่อรับรถเช่ากันตรงนี้ค่ะ ถ้าจองผ่านเว็บไซต์  หรือ จองผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-2511131-2, 02-2555300-4 มาแล้ว ก็ยื่นใบขับขี่และบัตรเครดิตสำหรับกันวงเงินประกันการเช่า ให้เจ้าหน้าที่ได้เลย ถ้าใครไม่ได้จองมาก็สามารถมาติดต่อเพื่อให้เจ้าหน้าที่เช็ครถว่างให้ได้เช่นกันค่ะ รอแป๊บเดียวก็สามารถเดินออกไปพบเจ้าหน้าที่ฝ่าย รับ-ส่ง รถเช่า ด้านนอกสนามบิน เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปยังรถคันที่ให้เช่าแล้วจะทำการเช็ครอยขีดข่วนเดิมก่อน จากนั้นก็ให้เราเซ็น แล้วเก็บเอกสารเอาไว้กับตัว เท่านี้ก็ขับรถออกท่องเที่ยวกันได้อย่างสบายใจแล้ว

 

12.00 น. – ไหว้พระ และชมความงดงามของ เจดีย์สแตนเลส

จุดมุ่งหมายแรกของทริปนี้คือ “เจดีย์สแตนเลส” หรือ พระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพ ไตรมงคล ตั้งอยู่บนยอดเขาคอหงส์ หลังมอ. (มอ. คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) หมู่ 8 บ้านในไร่ ถนนปุณณกัณฑ์ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ เจดีย์ส่วนใหญ่ในเมืองไทยนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาถึงปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน แต่กระนั้นก็ยังมีเจดีย์อีกจำนวนหนึ่งที่สร้างด้วยวัสดุที่แตกต่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “เจดีย์สแตนเลส” ของเมืองหาดใหญ่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์สแตนเลสองค์แรกของโลก

 

สามารถเดินรอบๆองค์เจดีย์ได้ ซึ่งมีจุดนั่งกราบพระบรมสารีริกธาตุอยู่ด้านหน้า

 

ตัวเจดีย์มีทางเข้าเป็นประตูวงกลมรอบด้าน เดินเข้าไปถึงแกนกลางข้างในได้ ซึ่งภายในนี้จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่โดยรอบ

 

บริเวณกำแพงจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์

 

เมื่อเดินเข้ามาถึงแกนกลาง มีบันไดวงให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ แบ่งเป็นทางขึ้นและทางลง

 

ด้านล่างสัมผัสถึงกระแสลมพัดเอื่อยๆ แม้แดดร้อนก็รู้สึกเย็นสบาย แต่เมื่อขึ้นมาด้านบนแล้วลมแรงกว่าด้านล่างมาก เย็นสบายกว่ามาก ได้มองเห็นวิวรอบๆผ่านรั้ว

 

13.00 น. – ข้ามไปเกาะยอ แวะไหว้พระและชมความยิ่งใหญ่ของพระนอน วัดแหลมพ้อ

จากนั้นขับรถตรงมาที่ เกาะยอ เป็นเกาะกลางทะเลสาบในเมืองสงชลา เมื่อขับข้ามสะพานติณสูลานนท์มาถึงเกาะแล้วจะเห็นพระพุทธไสยาสน์ พระพุทธรูปปางปรินิพพาน องค์ใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ จึงหาทางเข้าแล้วขับรถเข้าไปไหว้พระกันสักหน่อย

 

13.30 น. – ทานอาหารกลางวันที่ ร้านอาหารชมจันทร์ ซีฟู้ด

มาทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารชมจันทร์ ซีฟู้ด มาถึงถิ่นทะเลก็อยากกินอาหารทะเล แต่หารู้ไม่ว่าสงขลา โดยเฉพาะหาดใหญ่นั้น ราคาอารทะเลไม่เบาเลย

 

บนเกาะยอมีร้านอาหารทะเลอยู่หลายร้านนะคะ สะดวกร้านไหนก็แวะร้านนั้นได้ แทบทุกร้านจะอยู่ริมเกาะ สามารถนั่งชมวิวทะเลสาบสงขลาเพลินๆได้

 

หิวมากแต่สั่งอาหารไปแค่พอทานสำหรับ 2 คน ซึ่งก็ได้เยอะมากเหมือนกันนะคะเนี่ย ทานกันจนอิ่มแน่น รสชาติถือว่าใช้ได้ค่ะ

 

14.30 น. – แวะไหว้พระทันใจ และเดินชมสะพานแดง วัดโคกเปี้ยว

มาต่อที่วัดโค้กเปี้ยว ไหว้พระทันใจที่ประดิษฐานอยู่ภายในอาคารทรงแปดเหลี่ยมบริเวณทางเข้า และเข้ามาจอดรถด้านใน เดินไปยังสะพานไม้เก่าหลังกุฏิเจ้าอาวาส เนื่องจากดูจาก Google Map มาก่อนหน้านี้แล้วเห็นสะพานไม้สีแดงทอดยาวลงสู่ทะเลสาบสงขลา แต่ไม่ค่อยมีข้อมูลให้อ่านสักเท่าไร มีเพียงรูปถ่ายที่คนเข้ามาเช็คอินกันไม่กี่รูปซึ่งเป็นข้อมูลเก่ามากกว่า 2 ปีก่อน จึงอยากเข้ามาดู เพราะถ้าหากสะพานยังคงแข็งแรงและยังมีสีแดงอยู่คงจะสวยมาก แต่เมื่อมาถึงแล้ว ออกจะงงเล็กน้อยว่าอะไรอยู่ทางไหน ถ้าใครไม่แวะเข้ามาก็คงไม่รู้แน่

 

และเนื่องจากเข้ามาแล้วหาสะพานแดงไม่เจอ จึงลองถามเณรที่เดินอยู่แถวนั้น แล้วก็ค่อยๆเข้าไปตามทาง ทางที่เดินเข้ามาจะเป็นทางราดซีเมนต์ กำแพงมีรูปปั้นแบบนี้อยู่นะคะ

 

เดินเข้าไปสุดทาง เลี้ยวขวาก็จะได้เจอสะพานแดงแล้ว สภาพสะพานปัจจุบันนั้นมีบางส่วนผุพัง สีซีด แต่ยังแข็งแรงดีอยู่ ถ้าจะเดินออกไปควรระมัดระวังและค่อยๆเดินไปนะคะ ถ้าได้รับการซ่อมแซมดีๆจุดนี้จะสวยมากเลยนะ

 

15.00 น. – ไหว้พระและถ่ายรูปวัดเก่าแก่ วัดท้ายยอ

มาวัดอีกแห่งหนึ่งของเกาะยอ นั่นคือ วัดท้ายยอ วัดนี้จะเป็นวัดเก่าแก่ ดูมีความคลาสสิกหลายมุม มีกุฏิแบบเรือนไทยปั้นหยา อายุกว่า ๒๐๐ ปี หลังคา ใช้กระเบื้องดินเผาเกาะยอและกระเบื้องลอนแบบเก่า

 

ด้านหลังของวัดท้ายยอเป็นที่ตั้งของ เขาเพหารหรือเขาวิหาร มีบันไดเดินขึ้นลงได้

 

นอกจากนี้ ยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุควรค่าแก่การศึกษาและเรียนรู้ เช่น บ่อน้ำโบราณ สระน้ำโบราณ โรงเรือพระ สถูป หอระฆังอันงดงาม และมีร่องรอยของท่าเรือโบราณ ซึ่งเคยเป็น ศูนย์กลางการคมนาคม ของชาวเกาะยอ

 

ถ้าหากใครมากันเป็นกลุ่มใหญ่ และมีเวลามากหน่อย อยากแนะนำให้มาพักโฮมสเตย์บนเกาะยอ ดูวิถีชีวิตการหาปลา การวางยอ ยกยอ ซึ่งมีอยู่แทบจะรอบเกาะเลยก็ว่าได้ ยิ่งช่วงเย็นตะวันจะตกลับขอบน้ำในทะเลสาบ มองเห็นยอละลานตาท่ามกลางแสงบนฟ้าและแสงสะท้อนน้ำสีส้มๆ จะเป็นภาพที่งดงามมาก เพราะมีนักถ่ายภาพหลายคนนิยมมาเก็บภาพกัน ส่วนเรานั้นมาในช่วงสัปดาห์ที่มีพายุเข้า ฝนตกเป็นบางช่วง ฟ้าก็ปิด แอบเสียดายอยู่ไม่น้อย

 

16.00 น. – ออกจากเกาะยอ เข้าที่พัก Club Tree Hotel

จากนั้นก็ออกจากเกาะยอ แล้วมาเข้าที่พักคืนแรกของเรา ที่ Club Tree Hotel อยู่ที่ ถนนทะเลหลวง ในเมืองสงขลา เราหาที่พักด้วยวิธีเสิร์ชหาแล้วเปิดดูตำแหน่งที่ตั้งในแผนที่ ประกอบกับภาพถ่ายบรรยากาศของที่พัก ที่นี่ตรงใจเราที่สุดแล้ว เพราะเช้าวันต่อไปเราจะเริ่มเที่ยวในเมืองก่อนจะกลับเข้าหาดใหญ่ และภาพบรรยากาศบางมุมที่หาดูได้นั้นดูสวยมาก เมื่อมาถึงสถานที่จริงแล้วไม่ผิดหวังเลย เป็นสไตล์ยุโรปโมเดิร์น เน้นใช้สีขาวและเขียว ทำให้ดูชุ่มชื่น อบอุ่นและผ่อนคลาย

 

เท่าที่ได้สอบถามมา ห้องพักจะมีทั้งหมด 76 ห้อง ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับโรงแรมในเมือง เปิดมาแล้ว 3 ปี แต่ก่อนหน้านั้นจะเป็นอพาร์ทเม้นต์ ใช้ชื่อว่า ซันซิตี้ ซึ่งมีการปรับปรุงใหม่โดยเปลี่ยนมาเป็นโรงแรมเต็มรูปแบบได้ประมาณ 1 ปี เองค่ะ ส่วนราคาแต่ละประเภทนั้นก็ตามนี้เลย

 

ราคาห้องพักประเภทต่างๆ

 

1. ห้องเตียงเดี่ยว Standard Room ราคา 950 No ABF / Rack Rate1000 No ABF *อาหารเช้า ท่านละ 100 บาท

 

2. ห้องเตียงคู่ Superior Room ราคา 1050 No ABF / Rack Rate 1200 No ABF อาหารเช้า ท่านละ 100 บาท

 

3. ห้องสวีท Suite Room ราคา 1500 No ABF / Rack Rate 1600 No ABF อาหารเช้า ท่านละ 100 บาท

 

4. ห้องครอบครัว Family Room ราคา 1700 No ABF / Rack Rate 1800 No ABF อาหารเช้า ท่านละ 100 บาท

 

ชั่นล่าง มีลานจอดรถอยู่ด้านใน เมื่อขับรถมาจอดแล้วเดินเข้ามายังห้องล็อบบี้ เป็นล็อบบี้ที่สวยมาก ให้อารมณ์เหมือนห้องรับแขกผสมห้องอ่านหนังสือในบ้าน อุปกรณ์ตกแต่งต่างๆคลุมโทนและดูเข้ากันอย่างลงตัว

 

มีที่นั่งพักในมุมสบายๆ ที่ดูงดงามมาก ตรงนี้เป็นบริเวณหน้าลิฟท์ขึ้นลงอาคารที่พัก

 

นอกจากที่นั่งพักสวยๆเก๋ๆแล้ว ยังมีโถกดน้ำดื่มเย็นๆ และเครื่องดื่มร้อนประเภทกาแฟ โกโก้ เอาไว้ให้บริการ ฟรี กันอีกด้วย ชอบมากเลยค่ะ ไม่ใช่แค่ชอบของฟรีนะ แต่ชอบที่การใส่ใจค่ะ

 

หลังจากที่เช็คอินแล้ว จะได้รับคีย์การ์ดพร้อมคูปองรับประทานอาหารเช้า และขึ้นไปยังห้องพักได้

 

ห้องพักของเราคืนนี้เป็นประเภท Standard รวมอาหารเช้าค่ะ ภายในห้องใช้สี เทา น้ำตาล ขาว เป็นหลัก ให้อารมณ์โมเดิร์นที่แฝงความอบอุ่นเอาไว้ มีเตียงขนาดคิงไซส์ (6ฟุต) นุ่มมาก นั่งลงไปแล้วอยากทิ้งตัวลงนอนต่อทันที

 

สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้ครบค่ะ ทั้งทีวี ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน แก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ ไดร์เป่าผม

 

ส่วนห้องน้ำ ก็มีแยกโซนเปียกกับแห้ง มีเครื่องทำน้ำอุ่น และอุปกรณ์อาบน้ำวางไว้ให้

 

ที่อยู่ : 165/8 ถนนทะเลหลวง ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา 90000

เบอร์โทรฯ : 074-313-888

เฟซบุ๊ก : Club Tree Hotel

 

17.00 น. – เดินเล่น หาดชลาทัศน์

นั่งพักอยู่ไม่นาน ชวนกันออกไปหามื้อเย็นทานเล็กๆน้อยๆ ตั้งใจว่าจะออกไปแค่เซเว่น ซึ่งจริงๆแล้วเดินออกมาจากโรงแรมแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงไปนิดเดียวก็เจอเซเว่นแล้ว พอขับรถออกมาก็ลำบากเรื่องหาที่จอดรถเพราะถนนเส้นนี้เป็นตลาด จากที่จะมาแค่เซเว่น เลยไปเรื่อยๆจนถึงสามแยกริมทะเล ฮ่าๆๆๆ ก็เลยขับเลาะไปเรื่อยๆแล้ววกกลับมาจอดลงเดินเล่นที่ ชาดชลาทัศน์ ลมเย็น อากาศดีมาก ฝั่งนี้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จึงไม่ได้เห็นตะวันตกทะเล แต่บรรยากาศดีไม่น้อย มีคนมานั่งเล่น นั่งปิกนิก เดินเล่น และเล่นน้ำทะเลกันอยู่เยอะเหมือนกัน ส่วนริมฟุตบาทก็จะมีคนวิ่งออกกำลังกายผ่านไปมาอยู่เรื่อยๆ

 

18.00 น. – ซื้ออาหารเย็นและของทานเล่น ตลาดชลาทัศน์

กลับมาเข้าถนนทะเลหลวง ช่วงหน้าโรงเรียนวชิรานุกูลจะมีร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งเรียงอยู่ริมถนน ยาวเกือบกิโลเมตรเห็นจะได้ ของกินเยอะมาก ส่วนมากจะเป็นอาหารท้องถิ่น มีแต่น่ากินๆทั้งนั้นเลย

 

ที่มีขายเหมือนกันหลายร้านจะเป็นร้านขายไก่ทอด แยกชิ้นส่วนต่างๆทอด ดูน่าตาน่ากินทุกร้านเลย ราคาก็ไม่แพง เท่าๆกันทุกร้าน

 

ที่แปลกตาสำหรับเราหน่อยก็คือ “ข้าวแกงไก่” ถ้าฟังแค่ชื่อ ก็คงเข้าใจว่าเป็นข้าวสวย ที่ขายกับ แกงไก่ แบบแกงเผ็ด แต่ดูภาพประกอบแล้วทำให้นึกถึงเมนู “นาซีเลอมะก์” (Nasi Lemak) ของสิงคโปร์ ที่เคยติดอกติดใจตอนไปเที่ยวสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว

 

นาซีเลอมะก์ จะเป็นข้าวสวย เสิร์ฟมาพร้อมกับ ไก่ทอด ไข่ต้มหรือไข่ดาว ถั่วลิสงคั่ว ปลาตัวเล็กๆทอด แตงกวา และน้ำพริกหวาน (หน้าตาคล้ายน้ำพริกตาแดง แต่รสออกหวานและไม่เผ็ด)

 

ส่วนข้าวแกงไก่ของที่นี่นั้น จะมีข้าวสวย กุ้งหวาน ปลาจิ้งจั้ง หรือปลาตัวเล็กทอด แตงกวา ราดน้ำพริก 2 อย่าง เป็นน้ำพริกกะปิตำพริกแดงแหลกๆ และน้ำพริกมะขามออกเปรี้ยว ขายพร้อมกับ แกงไก่ ที่หน้าตาและรสชาติคล้ายมัสมั่นไก่ที่ไม่ได้ใส่ถั่วลิสง ใครกลัวเลี่ยนแนะนำให้ขอน้ำพริกมะขามเพิ่มนะคะ เราตัดสินใจซื้อมาลองทานกับไก่ทอด (ทำไมคิดถึงอาหารสิงคโปร์ ^^”) และจัดเฉาก๊วยนมสดมาอีก 1 แก้ว

 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายร้าน หลายเมนูให้เลือกซื้อเลือกทาน มาแวะแป๊บเดียวน้ำลายไหลแล้วไหลอีก ต้องรีบกลับที่พักก่อนแล้ว

 


 

วันที่ 2

อาบน้ำแต่งตัวกันตั้งแต่เช้า เพื่อลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรม ก่อนทานมาเดินดูมุมต่างๆของห้องอาหารแห่งนี้กันก่อน เป็นห้องอาหารที่มีบรรยากาศดีและสวยมาก คนมักจะชอบมาโพสต์ท่าถ่ายรูปตามมุมต่างๆในห้องนี้ ถ่ายตรงไหนก็สวย

 

ส่วนไลน์อาหารมีให้เลือกทานอยู่หลายอย่าง ทั้งข้าวสวย กับข้าว ข้าวต้มหมู ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว ขนมปัง ปาท่องโก๋ และอื่นๆ รสชาติก็อร่อยไม่เบาเสียด้วยสิ

 

ที่เราชอบมากเป็นพิเศษเลยคือ ปาท่องโก๋ ทานกับสังขยาใบเตย อร่อยมาก!! หรือจะทานกับน้ำผึ้งก็ได้

 

9.00 น. – เดินเล่นประตูเมืองเก่า สงขลา + ถนนนางงาม

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ออกมาเดินเล่นกันต่อที่ ประตูเมืองเก่า สงขลา และ ถนนนางงาม ที่เรียกได้ว่าเป็นย่านเมืองเก่า ซึ่งยังคงความคลาสสิกเอาไว้ เห็นได้จากอาคารบ้านเรือนต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้ และไม้ผสมปูน สไตล์ชิโนโปรตุกิส (รูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก)

 

ย่านเมืองเก่าจะมีรถรางพานักท่องเที่ยววิ่งผ่านด้วยนะคะ เดินๆอยู่แล้วหันไปเห็นพอดี จึงรีบยกกล้องขึ้นมาเล็ง มีนักท่องเที่ยวโบกมือให้ด้วย ^^”

 

มีอีกมุมที่คิดว่าใครมาสงขลาก็มักจะต้องมาถ่ายรูปมุมนี้ด้วย เป็นภาพเขียนฝาผนังแนวสตรีทอาร์ต บ่งบอกถึงวิถีท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

 

บนถนนสายนี้มีร้านอาหาร ร้านกาแฟโบราณ ร้านติ่มซำ คาเฟ่ และร้านขนมอยู่หลายร้าน แต่ที่ดึงดูดเราที่สุดก็เห็นจะเป็นร้านขายขนมกะลอจี๊ของสองลุงป้านี่แหละค่ะ พิกัด อยู่ฝั่งตรงข้ามกับภาพเขียนฝาผนังนั่นเลย เคยได้ยินได้เห็นกะลอจี๊มาบ้างแต่ยังไม่เคยลองทานเลยสักครั้ง ครั้งนี้มีโอกาสได้ลองชิม เพราะยืนดูอยู่นานจนชาวบ้านที่มายืนซื้อต่างแนะนำกันเป็นเสียงเดียวว่าร้านนี้อร่อย แล้วคุณป้าที่กำลังเร่งมือทำขนมอยู่ก็ตัดแผ่นแป้งออกเป็นชิ้นพอดีคำ คลุกน้ำตาลและถั่วป่น ยื่นมาให้เราชิม โอ๊ย…ใจดีจังเลยค่ะ พอชิมแล้วก็ติดใจต้องซื้อมาทานต่อทันที 1 ถ้วย 20 บาท นุ่มหนึบหนับ หอม หวาน มัน อร่อยมาก ถ้าไม่ติดว่าทานอาหารเช้าจากโรงแรมมาจนอิ่มพุงเปล่งแล้วจะขอไปเบิ้ลอีกสักถ้วย

 

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆฝนก็ค่อยๆตกลงมาปรอยๆให้ทันได้รีบวิ่งเข้ารถ พอปิดประตูรถได้ เม็ดฝนก็ใหญ่ขึ้นและตกหนักขึ้น โอ้โห มาช่วงมีพายุก็จะได้สนุกเช่นนี้แล คิดว่าจะแวะไหว้ศาลหลักเมืองต่ออีกสักหน่อยเพราะอยู่ไม่ไกล แต่ฝนตกแล้วจึงชะลอรถไหว้จากในรถกันเลย

 

12.00 น. – ไหว้พระธาตุ ชมวิวเมืองและวิวทะเล เขาตังกวน และศาลาวิหารแดง

มาขึ้นเขาตังกวนกันต่อ ทีแรกลังเลเพราะเห็นคนต่อแถวรอกันอยู่เยอะมาก แต่อยากขึ้นไปชมวิวพาโนราม่าด้านบน ก็เลยออกมายืนดูลิงไปพลางๆก่อน ลิงที่นี่ดีจังไม่ลงมาเพ่นพ่านข้างล่าง

 

เขาตังกวน สามารถขึ้นได้ 2 ทาง คือ ขึ้นโดยลิฟท์จุดนี้ และเดินขึ้นฝั่งตรงกันข้าม เป็นบันได 145 ขั้น อยู่ด้านทิศตะวันตก สามารถเดินไปถึงศาลาพระวิหารแดงได้ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้บริการลิฟท์มากกว่า เพราะสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเหนื่อยมาก

 

สถานีลิฟท์เขาตังกวน เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนถึง 18.30 น. ค่าโดยสาร ผู้ใหญ่ 30 บาท และเด็ก 20 บาท (ส่วนสูงต่ำกว่า 120 เซนติเมตร)

 

บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐาน เจดีย์พระธาตุ คู่เมืองสงขลา ซึ่งสร้างในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี (อยู่บนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,000 ฟุต ) “สันนิษฐานว่าเป็น พระเจดีย์โบราณที่มีมานาน แต่ไม่ปรากฎหลักฐานความเป็นมาที่ชัดเจน จนต่อมาในปี พ.ศ.2402 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองสงขลา หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2409 จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินหลวง 37 ชั่ง ให้เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น) ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ให้สูงใหญ่กว่าของเก่า และในครั้งนั้น เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น)ได้สร้างคฤห์ไว้ที่ฐานพระเจดีย์ และต่อเติมเก๋งที่มุมกำแพง พระเจดีย์หลวงเป็นพระเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของสงขลา จึงมีการบูรณะซ่อม แซมมาโดยตลอด ในปีพ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าพระราชทาน พระบรมสารีริกธาตุ และเครื่องสักการะบูชาประดิษฐานไว้ ณ พระเจดีย์หลวง เพื่อไว้เป็นที่สักการะบูชาของชาวเมืองสงขลาสืบต่อไป”

 

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆอีก คือ

ศาลาพระวิหารแดง

“ประวัติการก่อสร้างศาลาพระวิหารแดง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้สร้างพลับพลาที่ประทับนี้ แต่ยังคงสร้างค้างอยู่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายูถึงเมืองสงขลา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน มีพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาพระวิหารจนสำเร็จในเวลาต่อมา แล้วยังทรงพระราชดำริให้สร้างบันไดนาคขึ้นจาก พลับพลา สำเร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ. 2440 หน้าพลับพลาไปด้านเชิงเขาด้านหนึ่งของเขาตังกวน เป็นบริเวณที่วิวเปิดเห็นทิวทัศน์ได้ไกล และสวยงามมากภายในศาลาพระวิหารแดง ลักษณะการก่อสร้างภายในเป็นเสามีช่องทางเดินทะลุถึงกันแต่ละช่องมีขนาดเท่ากัน และเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด ด้านหลังเป็นทางไปบันไดนาคขึ้นยอดเขาตังกวนและพระเจดีย์หลวง ช่องด้านหน้าเป็นทางเดินลงไป เชิงเขาทางบันได”

 

ประภาคาร

เป็นอาคารที่สำคัญอย่างหนึ่งของเขาตังกวน สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.2439 ครั้งพระยาวิเชียรคีรี (ชม) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา โดยสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้โปรดให้ กรมทหารเรือทำเครื่องหมายประดับประกอบตัวโคมและส่งแบบฐานปูนให้ข้าหลวงออกมาจัดการก่อสร้างประภาคาร ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในบริเวณที่พระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) และพระยาชลยุทธโยธินเป็นผู้เลือกสถานที่ ประภาคารนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2440

 

ลานชมวิวเขาตังกวน

จากยอดเขาตังกวนสามารถชมวิวของเมืองสงขลาได้ทั่ว มีที่นั่งให้นั่งชมวิว มีรูปหล่อหลวงปู่ทวดอยู่กลางลาน บนฐานที่ยกสูงขึ้นไป ลานชมวิวหน้าพระเจดีย์หลวงจะมองเห็นตัวเมืองสงขลาได้กว้างไกลมาก ทั้งวิวตัวเมืองและทะเลสาปสงขลา รวมทั้งหาดสมิหลาด้วย

 

12.30 น. – เดินเล่นและถ่ายรูป รูปปั้นนางเงือก แหลมสมิหลา

มาต่อยังอีกจุดที่ เมื่อมาสงขลาแล้วต้องมาจุดนี้ นั่นก็คือ “แหลมสมิหลา” ที่มีรูปปั้นนางเงือกตั้งอยู่ ขนาดช่วงเที่ยงแดดร้อนลงกลางหัวแบบนี้ ยังมีคนมาต่อแถวรอถ่ายรูปคู่กับนางเงือกยาวเลยล่ะค่ะ ส่วนเรานั้น ซูมเข้าไปค่ะ เลนส์ซูมได้มีชัยไปกว่าครึ่ง

 

14.00 น. – ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไหว้พระใหญ่ สวนสาธารณะหาดใหญ่

จากเมืองสงขลา ขับรถกลับมาเข้าอำเภอหาดใหญ่ แวะที่ สวนสาธารณะหาดใหญ่ ก่อนเลย

 

ตั้งใจจะมาขึ้นกระเช้า “เคเบิ้ลคาร์” ตอนหาข้อมูลแล้วเห็นรูปครั้งแรก คือ ตัดสินใจทันที่ว่าจะต้องมาให้ได้ เพราะคิดว่าไม่ต้องไปไกลถึง เก็นติงไฮแลนด์ มาเลเซีย หรือ กระเช้านองปิง ที่ฮ่องกง ของไทยก็มีนะเอ้อ!!! ตัวกระเช้าจะมี 2 คัน เคลื่นตัวสลับกันไปมาในระยะทาง 525 เมตร ใช้เวลาเดินทางต่อ 1 รอบ ประมาณ 3 นาที สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ครั้งละ 8 คน รองรับน้ำหนักได้ 640 กิโลกรัม  ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์และ ช่างชำนาญการโดยเฉพาะ รวมถึงการดูแลด้านระบบความปลอดภัยของตัวกระเช้า ในการควบคุมการเปิด-ปิดประตู และการจัดระบบสื่อสารระหว่างกระเช้าในกรณีฉุกเฉิน

 

กระเช้าลอยฟ้าหาดใหญ่ เป็นเส้นทางสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคอหงส์ จากพระพุทธมงคลมหาราช ไปยังท้าวมหาพรหม ระหว่างทางสามารถมองเห็นวิวตัวเมืองหาดใหญ่ เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ ภายในสวนสาธารณะ และวิวธรรมชาติด้านล่าง มีลมพัดเย็นๆเข้ามาในกระเช้าบ้างเล็กน้อย

 

วันและเวลาให้บริการ : 09.00 – 18.00 น. ของทุกวัน

ค่าบริการ : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก (สูงไม่เกิน 150 ซ.ม.) 50 บาท  เด็กสวมเครื่องแบบนักเรียน/นักศึกษา และผู้ใหญ่สวมเครื่องแบบข้าราชการ 50 บาท ชาวต่างชาติ 300 บาท

การเดินทาง : หาดใหญ่เคเบิ้ลคาร์ ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ อ.หาดใหญ่ เมื่อเข้าไปในสวนสาธารณะแล้ว จะมีป้ายบอกทางให้ขับรถขึ้นไปบนเขาคอหงส์ ขับขึ้นมาจะเจอเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่สีขาวก่อน แล้วขับขึ้นไปอีกกระทั่งถึงลานจอดรถ หลังพระพุทธมงคลมหาราช (พระพุทธรูปปางห้ามญาติ องค์ใหญ่) จากนั้นเดินเข้าไปทางด้านข้างองค์พระพุทธรูป ก็จะพบสนานีเคเบิ้ลคาร์อยู่ทางขวามือ

 

พระพุทธมงคลมหาราช

หลายๆคนมักจะเรียกกันว่า “พระพุทธรูปประจำเมืองหาดใหญ่” หรือชื่อเต็มๆว่า “พระพุทธมงคลมหาราช” ว่ากันว่าพระพุทธรูปสีทององค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ สร้างขึ้นด้วยจิตศรัทธาของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยวัตถุประสงค์การสร้างพระพุทธรูปทองเหลืององค์นี้ ก็เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา (พ.ศ.2542) พระพุทธรูปปางห้ามญาติองค์นี้มีความสูงถึง 19.90 เมตร ออกแบบโดย ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ผู้เป็นศิลปินแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2542 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานนามของพระพุทธรูปว่า “พระพุทธมงคลมหาราช” หมายความว่า ความเป็นสิริมงคลอันยิ่งใหญ่ โดยมีสมเด็จพระญารสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังคปรินายก เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเททองพระหัตถ์พระพุทธมงคลมหาราช ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2543 ต่อสมเด็จพระเทพฯ เสด็จทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระเกตุมาลา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2543 ณ เขาคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่

 

ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ ตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษ 6 รอบ (5 ธ.ค.52) ประดิษฐาน ณ ฐานพระพุทธมงคลมหาราช และในทุกวันนี้ “พระพุทธมงคลมหาราช” ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ ณ เขาคอหงส์ หันพระพักต์เข้าสู่เมืองหาดใหญ่ คอยคุ้มครองประชาชนชาวหาดใหญ่ตลอดมา และกลายเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองหาดใหญ่ที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง

 

จากบริเวณนี้ก็สามารถชมวิวเมืองสวยๆได้เช่นกัน

 

15.30 น. – เข้าคาเฟ่เย็นๆ ที่ Space Bar

ก่อนเข้าที่พัก แวะมาเข้าคาเฟ่นั่งละเลียดเครื่องดื่มเย็นๆ และเบเกอรี่อีกสักหน่อยก่อน ที่นี่เลยค่ะ Sapce Bar เมื่อมาถึงหน้าร้านแล้วสิ่งที่ได้เห็นคือ ความเป็นคาเฟ่ที่ให้อารมณ์เหมือนเดินเข้าบ้าน ทุกคนที่ร้านนี้เป็นกันเองมาก พูดคุยยิ้มแย้มกันตลอดเวลา มันคือเสน่ห์อีกอย่างที่ไม่ใช่ว่าจะหาได้จากทุกๆที่

 

แต่ละมุมของร้านให้ความรู้สึกอบอุ่น และงดงามอยู่ในนั้น โดยเน้นใช้สีขาว น้ำตาล จึงดูสบายตา และรู้สึกสบายใจ เหมาะแก่การมานั่งชิล พักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่นี่

 

เจ้าของร้านคือ คุณฝ้าย คุณแอน และจุ๊บ วันนี้ไม่ได้เจอทั้ง 3 คน แต่ได้เจอบาริสต้าที่พูดเก่งและเป็นกันเองมาก คือ คุณบี ใครมาร้านนี้บอกเลยว่า ถ้าคุณคิดไม่ออกว่าอยากทานอะไร อยากได้เครื่องดื่มแบบไหน ให้มาคุยกับคุณบีได้ บางครั้งเวลาคุณบีคิดสูตรใหม่ๆได้ก็อาจจะเรียกลูกค้าในร้านนี่แหละมาช่วยชิม ^^

 

ด้วยความที่ร้อนๆเหนื่อยๆมา จึงกระหายน้ำมาก ได้ดื่มไปทั้งหมด 5 อย่าง และขนมอีก 2 อย่าง คนอะไรมา 2 คน จัดเครื่องดื่มไป 5 อย่าง ฮ่าๆๆๆ แต่ละเมนูนั้นสัมผัสได้ว่าได้รับการใส่ใจเป็นอย่างดี รสชาติอร่อยเข้มข้น บลูเอสเปรสโซ่, คาปูชิโน่, บัตเตอร์เบียร์, Space Bar summer, นมสตรอว์เบอร์รีร้อน, ช้อกโก้ การ์เด้น และพายผักโขม

 

ที่อยู่: ถนนวงศ์วานิช ตำบล หาดใหญ่ อำเภอ หาดใหญ่ สงขลา 90110

เบอร์โทรฯ : 096-902-4744

เวลาทำการ : 10.00 – 19.00 น.

เฟซบุ๊ก : Sapce Bar

 

16.00 น. – เข้าที่พัก The Weenee Boutique Resort Hatyai

ตากแดดกันจนได้กลิ่นผิวไหม้ และเมื่อยขาเพราะเดินกันเยอะ แต่สนุกดีนะ จากนั้นมาเข้าที่พักในคืนที่ 2 ของเรา คือ The Weenee Boutique Resort Hatyai บอกเลยว่าเป็นรีสอร์ทที่น้อยคนจะรู้ ว่ามีรีสอร์ทสวยๆอันแสนร่มรื่นแบบนี้อยู่ในตัวอำเภอหาดใหญ่ แต่เราจะพามาชมกันค่ะ

 

ที่พักแห่งนี้เปิดมาได้ 11 ปีแล้วนะคะ แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างนัก เพิ่งจะเปิดให้จองผ่านเว็บไซต์เอนเจนซี่ อย่าง booking.com เมื่อไม่นานมานี้เอง ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นเพื่อนฝูง คนรู้จัก และที่มาจากการบอกกันปากต่อปากเท่านั้นเอง

 

The Weenee Boutique Resort Hatyai เป็นรีสอร์ทสไตล์บูติค ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เขียวชะอุ่มและเย็นสบายอยู่ตลอด ตัวอาคารมีสีเหลืองซึ่งสร้างจากปูนสีเหลือง ไม่ได้ทาสี จึงทำให้ดูสดใสผสมผสานไปกับความคลาสสิคและสวยงาม มีลานจอดรถกว้างขวาง เป็นสัดส่วน

 

อาคารหลังใหญ่ประกอบไปด้วยห้องพักมากถึง 40 ห้อง เป็นประเภท Delux King ทั้งหมด ในราคา 1,670 บาท รวมอาหารเช้า ถ้าหากจองผ่านเว็บไซต์จะมีให้เลือกวิว ระหว่าง Pool View และ Garden View ด้วยค่ะ แต่ไม่ว่าจะวิวแบบไหนก็ดูสวยไม่ต่างกัน

 

เมื่อเช็คอินแล้วจะได้รับกุญแจห้องและคูปองอาหารเช้า เก๋ๆ ไม่เหมือนคูปองอาหารเช้าที่อื่น เพราะสามารถติ๊กเลือกได้เลยว่า ต้องการทานที่ห้องพัก หรือห้องอาหาร ต้องการทานอาหารประเภท ข้าวต้ม ข้าวผัด หรือขนมปัง และอื่นๆอีก เมื่อเลือกเสร็จแล้วจะต้องนำไปสอดไว้ในกล่องหน้าห้องพักก่อน 22.00 น.

 

ภายในห้องพักก็ยังคงคอนเซ็ปบูติค ผนังปูนสีเหลืองและสีแดง มีพื้นเป็นปูนสีน้ำเงิน และมีระเบียงทุกห้อง มีเตียงขนาด King Size สีขาวปลอดแต่งด้วยผ้าปาเต๊ะสีสดใส ในห้องยังแบ่งมุมต่างๆเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน มีมุมโต๊ะทำงาน โต๊ะเครื่องแป้ง มุมครัวขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วย ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน แก้วน้ำ และอ่างล้างจาน

 

ภายในห้องน้ำเน้นใช้กระเบื้องสีน้ำเงินตัดกับสีขาว มีผนังเป็นหินและปูน เครื่องทำน้ำอุ่น แชมพู ครีมอาบน้ำ มีไว้ให้พร้อม

 

ภายในรีสอร์ท มีสระว่ายน้ำใสๆเย็นๆให้ใช้บริการกันได้ตลอดด้วยนะคะ มีส่วนที่เป็นอ่างระบบน้ำพุใต้น้ำด้วย แจ่มตรงนี้

 

นอกจากนี้ยังมีห้องฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายอีกหลายชนิดด้วยค่ะ

 

และห้องอาหาร สีสันสดใส

 

ที่อยู่ : ถนน เพชรเกษม ซอย 10 เทศบาลนครหาดใหญ่ 90110

เบอร์โทรฯ : 074-469-222, 086-692-6625

เฟซบุ๊ก : The Weenee Boutique Resort Hatyai

 

18.00 น. – ชมวิวพระอาทิตย์ตก มัสยิดกลาง สงขลา

พี่สาวมีเพื่อนเป็นคนหาดใหญ่ ไม่ได้เจอกันหลายปี มาเที่ยวหาดใหญ่ทั้งทีก็ได้โอกาสให้นัดเจอเพื่อนค่ะ เราขอชะแว๊บไปชมวิวพระอาทิตย์ตกอีกจุดหนึ่งของหาดใหญ่ก่อน นั่นคือ มัสยิดกลาง สงขลา วันนี้ท้องฟ้าค่อนข้างปิด ลมแรง พัดน้ำเป็นริ้วๆ อากาศไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไร แต่มาหาดใหญ่แล้วอย่างไรก็ต้องมาที่นี่ให้ได้ คิดถึงขาตั้งกล้องมาก ถ้ามีขาตั้งกล้องน่าจะถ่ายรูปได้แจ่มกว่านี้เยอะนะคะ แต่อย่ากระนั้นเลย สถานที่จริงสวยกว่าในภาพที่เก็บมาได้เสียอีก สวยอลังการมาก ถ้าวันไหนฟ้าเปิดลมนิ่ง จะได้เห็นสีสันก่อนตะวันลับฟ้า และเงาสะท้อนน้ำที่งดงาม

 

19.00 น. – ทานอาหารเย็น ร้านบนเขา

เพื่อนพี่สาวพร้อมครอบครัวพาไปทานอาหารเย็นที่ ร้านบนเขา อยู่ในสวนสาธารณะหาดใหญ่ ที่เราเข้าไปมาเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง ตอนแรกที่ได้ยินว่า “ร้านบนเขา” ก็เข้าใจว่าเป็นร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่งอยู่บนเขา ไม่คิดว่าจะเป็นชื่อร้านอาหาร “บนเขา” ^^

 

มาถึงกันก็มืดแล้วค่ะ หน้าร้านประดับธงสีๆและไฟดวงน้อยใหญ่เต็มไปหมด ดูสวยมาก

 

ภายในร้านอันกว้างขวางมีที่นั่งให้เลือกทั้งภายในร้านส่วนที่มีหลังคา และแบบเอ๊าท์ดอร์ทั้งด้านบนและล่าง ส่วนใหญ่คนจะเลือกนั่งด้านบนเพราะมองเห็นวิวตัวเมืองหาดใหญ่ยามค่ำคืนที่มีแสงไฟระยิบระยับได้นั่นเอง

 

มื้อนี้เพื่อนพี่สาวเลี้ยงค่ะ ใจดีสุดๆเลย เต็มโต๊ะ รสชาติเข้มข้น อร่อยใช้ได้ เด็กก็ทานได้นะ ^^

 

20.30 น. – เดินเล่นที่ ถนนคนเดินหน้าลีการ์เด้น

หลังจากอิ่ม ไม่สิ เรียกว่า “แน่น” ถึงจะถูก ฮ่าๆๆๆ ก็พากันมาเดินเล่นที่ ถนนคนเดินหน้าลีการ์เด้น ชาวหาดใหญ่หลายคนต่างก็บอกให้มาเที่ยวที่นี่ตอนกลางคืน เพราะเป็นย่านที่คึกคักและคึกครื้นมาก มีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านนวดเท้า และขายของมากมาย

 

ร้านใหญ่ๆหลายร้านจะขายรังนกและหูฉลามเป็นหลักค่ะ มาถึงนี่แล้วต้องได้ รังนกจากธรรมชาติ ที่ทำขายกันมายาวนาน ไม่ทานกันที่นี่ก็ต้องซื้อกลับบ้านกันค่ะ ส่วนเรื่องของราคานั้นก็ขึ้นอยู่กับเกรดของรังนก เริ่มตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพัน

 

อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นขายอยู่หลายร้าน คือ กุ้ง!! กุ้งๆๆๆ ตัวเล็กตัวใหญ่ ขายกันเยอะมาก ตอนแรกคิดว่ากุ้งเผา แต่สีเหมือนกุ้งอบซะมากกว่า ส่วนเรื่องราคานั้น.. ได้แต่มองค่ะ แพงมาก เพราะเน้นขายนักท่องเที่ยว ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ทางฝั่งมาเลเซียปิดเทอม ชาวมาเลจะข้ามมาเที่ยวที่หาดใหญ่กันเยอะมาก และเพื่อนพี่สาวบอกว่า ขายราคาเท่าไรก็ขายหมด ขายดีจริง

 

ร้านขายมะม่วงกับทุเรียนก็มี แต่ไม่ได้เข้าไปเช็คราคา แค่ราคากุ้งยังสะดุ้งเลย.. หุๆ

 

แล้วก็มานั่งกันที่ร้านขายรังนกและเต้าทึง เป็นร้านเล็กๆที่ขายเหมือนๆกัน เรียงรายอยู่หลายร้าน

 

เดินกันมาจนถึงร้านสุดท้าย เป็นร้านที่มีคุณลุงกับคุณป้าขายอยู่นะคะ

 

สั่งเต้าทึงกันไปคนละถ้วย คุณพระ!! ถ้วยใหญ่มาก อัดเครื่องมาสารพัดอย่างแน่นเอี้ยด เต้าทึงนี่เป็นของโปรดเราอีกอย่างหนึ่งเลยนะ ยังอิ่มๆอยู่แต่เยอะแค่ไหนก็จะกินให้หมด ฮ่าๆๆๆ

 

อิ่มท้องอิ่มใจ กลับเข้าที่พัก แสงไฟยามค่ำในที่พักก็สวยไม่แพ้กลางวัน

 

กลับเข้ามายังห้องพัก เก็บของ แล้วจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าตอนเช็คอินเสร็จเอาบัตรประชาชนใส่กระเป๋าชุดที่ใส่วันนี้ไว้ แล้วมันหายไปไหน…. เอาล่ะสิ ลุ้นระทึกเรื่องที่ 1 เริ่มขึ้น พยายามหาในกระเป๋ากล้องทุกซอกทุกมุมก็แล้ว ในถุงของที่ซื้อมาก็แล้ว ในกระเป๋าพี่สาวก็แล้ว ลงไปหาในรถก็ไม่มี ลองคิดๆดูเรามีสติและจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือตอนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากชุดตอนจะถ่ายรูปเต้าทึง แล้วบัตรจะติดออกมาด้วย จึงเอาใส่กลับเข้าไปแล้วยังคิดตอนนั้นอยู่เลยว่า กลัวจะหลุดหาย แล้วคิดต่อว่าถ้าจะหลุดก็อาจจะหลุดในรถ ตอนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูแผนที่ ไม่ก็ตกอยู่ที่ร้านเต้าทึงนั่นแหละ ลงไปช่วยกันหาในรถและรอบรถกับพี่สาวอีกรอบก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจไปที่ร้านเต้าทึง จำทางได้แม่นยำ ระหว่างนั้นพี่สาวก็มีถามและคุยกับคนนู้นคนนี้ แต่เรายังมั่นใจ คิดแค่ว่าต้องไปที่ร้านก่อน จนแล้วจนรอดเมื่อเดินมาถึงที่ร้าน ระหว่างที่สายตากำลังสอดส่องไปใต้โต๊ะที่นั่งก่อนหน้านี้ ก็มีเสียงคุณป้าท่านหนึ่งถามมาว่า “หาบัตรประชาชนอยู่ใช่ไหมคะ” หูย……นาทีนั้นเหมือนได้ยินเสียงจากสวรรค์ ป้าคือนางฟ้าของหนู คุณลุงและคุณป้าที่ร้านก็เดินมาคุยด้วยพร้อมกับยื่นบัตรมาให้ บอกเราว่า เก็บไว้ให้ ไม่รู้จะติดต่ออย่างไร คิดว่าเดี๋ยวก็คงมาตามหา ….. โหย… ในความโชคร้ายมักได้เจอความโชคดีเสมอ คุณลุงคุณป้าน่ารักมาก ดีใจน้ำตาแทบไหล

 


 

วันที่ 3

ตื่นเช้า ลงมาทานอาหาร เราเลือกไว้ว่าจะลงมาทานที่ห้องอาหาร เพราะอยากได้บรรยากาศยามเช้า เดินลงมาชมวิวระหว่างทาง และนั่งทานเพลินๆได้มองดูอะไรรอบๆ

 

และนี่คือของทั้งสองคนที่เลือกมาค่ะ เห็นแบบนี้เล่นเอาอิ่มหนักเหมือนกันนะคะ รสชาติก็อร่อยมากด้วยนะจะบอกให้

 

10.00 น. – เดินซื้อของทานเล่นและของฝาก ตลาดกิมหยง

ขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว แล้วเช็คเอ๊าท์ เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป คือ ตลาดกิมหยง แหล่งรวมของฝาก ของทานเล่น ผลไม้ และเสื้อผ้า

 

หลักๆเลยคืออยากกินเม็ดมะม่วงหิมพาน เดินตามหาร้านคุ้นเคยของพี่สาว เห็นว่าเพื่อนชอบมาซื้อที่ร้านนี้ส่งไปให้ที่บ้าน ชื่อ ร้านพี่คอง มาถึงแล้วจะได้เจอแม่ค้าน่ารักๆคนนี้ หาไม่ยากค่ะ ^^

 

ต้องบอกก่อนว่ามีร้านที่ขายเหมือนๆกันแบบนี้อยู่หลายร้าน ของและคุณภาพไม่ได้ต่างกันมากนัก สิ่งที่จะต่างกันก็คือ การให้บริการ สะดวกใจหรือคุ้นเคยร้านไหน ถูกจริตร้านไหนก็เข้าร้านนั้นได้เลยค่ะ ราคาก็พอๆกันหมด แต่ถ้าซื้อเยอะก็สามารถต่อรองได้ตามความสามารถ บอกเลยว่า ร้านเดียวก็หมดกันไปหลายพันแล้วจ้า ^^”

 

ลุ้นระทึกเรื่องที่ 2 ก่อนมาถึงตลาดนึกขึ้นมาว่าจะต้องซื้อน้ำหนักสัมภาระโหลดใต้ท้องเครื่องเพิ่ม เพราะเชื่อว่าจะต้องซื้อของกันเยอะแน่ๆ อย่างน้อยต้องซื้อเพิ่มก่อนเวลาบอร์ดดิ้ง 4 ชั่วโมง มิฉะนั้นถ้าไปซื้อที่หน้าเค้าน์เตอร์ ราคาจะสูงกว่ามาก พอจะทำผ่านเว็บไซต์ตามที่เคยทำก็ทำไม่ได้ จึงโทรเข้าคอลเซ็นเตอร์ แต่ตอนที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์นั้น “วันที่เดินทางกลับ มันเลยไปแล้วนะคะ” เราอึ้งและงงว่าเกิดอะไรขึ้น หรือเราจองผิด!!………. จึงวางสายแล้วรีบเข้าเช็คในเว็บไซต์อีกที ปรากฏว่า ในระบบคือ เดินทาง ไปและกลับ ในวันเดียวกันเลยจ้า……. คราวนี้ก็ระทึกละ ค่อยๆทบทวนจนนึกออกว่าก่อนหน้านี้ได้รับการแจ้งเปลี่ยนเที่ยวบินมาจากสายการบิน จึงทำการเปลี่ยนแปลงเวลาเดินทางใหม่ และยืนยันกันกับเจ้าหน้าที่แล้วเรียบร้อย ซึ่งจริงๆแล้วควรเช็คอีเมลเพื่อความถูกต้องอีกรอบก่อน แต่ด้วยความไว้ใจและเชื่อใจ ไม่ว่าจะเปลี่ยนไฟลท์กี่ครั้งๆกับสายการบินนี้เราไม่เคยต้องเช็คอะไรต่อให้มากความ แต่คราวนี้เกิดการผิดพลาด จึงโทรเข้าไปคุยอีกครั้ง คุยอยู่ราวสองสามรอบ จนเรามั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องได้ มันไม่ใช่ความผิดของเรา สุดท้ายทางสายการบินรับผิดชอบว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่เอง (ทราบมาว่า ทางคอลเซ็นเตอร์จะมีคลิปเสียงบันทึกไว้ ไม่แน่ใจว่าระยะเวลานานแค่ไหน ดังนั้นหากเกิดปัญหาแบบนี้ ทางสายการบินจะตรวจสอบคลิปเสียงให้ได้) ก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ

 

12.00 น. – ทานของหวานๆเย็นๆที่ The Balcony

ซื้อของเสร็จ เวลายังมีเหลือเฟือ ชวนกันไปคาเฟ่ต่อที่ The Balcony อยู่ที่ ถ.กาญจนวนิช เป็นร้านที่ตั้งโดดเด่นอยู่ริมทาง มีลานจอดรถกว้างขวาง

 

ดูโมเดิร์นคันทรี่ เก๋ๆ มีสนามหญ้าและต้นไม้ดอกไม้อยู่เยอะพอสมควร

 

การตกแต่งร้านดูโปร่งๆ หลังคาสูง จึงให้ความรู้สึกสบายๆ และผ่อนคลายได้อย่างเต็มที่

 

เจ้าของและคนในร้านน่ารักมาก เป็นกันเองสุดๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ชอบตรงนี้มากซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยนะคะ เพราะต่อให้อาหารอร่อย แต่บรรยากาศไม่ดี คนในร้านเหวี่ยงๆก็คงไม่มีใครอยากเข้าบ่อยๆ แต่ถ้ามาเจอยิ้มแย้มแจ่มใสแบบนี้ บวกกับอาหาร เครื่องดื่ม อร่อยทุกอย่าง ก็ยิ่งอยากเข้าบ่อยๆ

 

แต่ละอย่างที่ได้ทานไป อร่อยทุกอย่างเลยจริงๆ คาราเมลมัคคิอาโต, สตรอว์เบอร์รีสมูทตี้, พิซซ่าโทสต์, บราวนี่ช็อคโกแลต, พานาคอตต้า

 

ที่อยู่  : 141 ถ.กาญจนวนิช ซ.ทวีรัตน์ ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110

เวลาทำการ : 07.30 – 20.00 น.

เบอร์โทร : 085-404-5553

เฟซบุ๊ก : The Balcony

 

13.00 น. – เข้าคาเฟ่บรรยากาศดีอีกร้าน  Foresto Cafe’

ขอแวะคาเฟ่อีกสักร้านก็แล้วกันนะ Foresto Cafe’ เป็นคาเฟ่สไตล์ลอฟท์ออกจะโมเดิร์นด้วย รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าจากปูนเปลือย อยู่ริมถนนศรีภูวนารถใน ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะ

 

ยิ่งคอกาแฟแนะนำร้านนี้เลยค่ะ ส่วนใครที่ไม่ถนัดกาแฟก็ยังมีเมนูต่างๆไว้คอยให้บริการ ทั้งเครื่องดื่ม และเบเกอรี่

 

จากการได้พูดคุยกับเจ้าของร้าน สัมผัสได้ถึงความพิถีพิถันใส่ใจรายละเอียดจริงๆ โดยเฉพาะการคัดสรรสายพันธุ์กาแฟต่างๆมาใช้ทำแต่ละเมนู ที่นั่งของร้านก็มีให้เลือกนั่งทั้งด้านนอก รับลมเย็นๆ และด้านในห้องกระจกแอร์เย็นฉ่ำ ได้อารมณ์คนละแบบ

 

แต่ละเมนูที่ได้ทานไป บอกได้เลยว่า อร่อยมาก! Booster, Black & white, พายกระเจี๊ยบ, ลาเต้ร้อน, เค้กแครอท

 

ที่อยู่ : 2/2 ถ.ศรีภูวนารถใน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110

เวลาทำการ : 10.00 – 18.00 น.

เบอร์โทร : 095-095-9982

เฟซบุ๊ก : Foresto Cafe’

 

ก่อนมาสนามบิน ได้แวะเข้าไปบ้านเพื่อนพี่สาวกันก่อน แต่ไม่ได้เจอกันเพราะเพื่อนพี่สาวพาแม่ไปโรงพยาบาล แต่ได้พบกับญาติๆแทน คนใต้นี่เป็นกันเองสุดๆไปเลยเนอะ ^^ ได้มะม่วงเบากลับมาอีกถุงเบอเร่อเลยล่ะ ของโปรด!!

 

 

15.00 น. – คืนรถเช่าที่สนามบิน

เข้าสนามบินแล้วโทรฯหาเจ้าหน้าที่ของ Avis ให้ออกมารับรถพร้อมกับกุญแจคืน เช็คความเรียบร้อยอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเรียบร้อย ขอบคุณ Avis สำหรับรถเช่าสภาพใหม่เอี่ยม และการให้บริการที่ดีทุกครั้ง

 

16.00 น. – เครื่องออก

ได้เวลาบอร์ดดิ้ง ขึ้นเครื่องเดินทางกลับ บ๊ายบาย หาดใหญ่ สงขลา

ปิดความเห็น บน เที่ยวสงขลา-หาดใหญ่ พักสบาย ได้เที่ยวชิล ชมวิวสวยๆ