Review,  travel story

ภูชี้ดาว จ.เชียงราย มองไปทางไหนก็มีแต่สายหมอก

ภูชี้ดาว จ.เชียงราย

ภูชี้ดาว อยู่บนพื้นที่ในความดูแลของ ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ยอดภูสูงจากระดับน้ำทะเลประทาณ 1,800 กิโลเมตร ซึ่งสูงกว่าภูชี้ฟ้าและดอยผาตั้ง เนื่องจากด้านบนสุดเป็นลักษณะสันเขาที่มีความกว้างประมาณ 1-2 เมตร และมีความยาวที่สามารถเดินได้ประมาณ 50 เมตรเท่านั้น และไม่มีต้นไม้ใหญ่หรือสิ่งก่อสร้างใดๆนอกจากรั้วกั้นแนวหน้าผา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย จึงสามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา ชมทะเลหมอกได้ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดกระทั่งถึงช่วงสายของวัน และในช่วงที่ทะเลหมอกไม่มากหรือจางไปแล้ว จะสามารถมองเห็นยอดภูชี้ฟ้าและวิวแม่น้ำโขงของฝั่งลาวอีกด้วย

 

ภูชี้ดาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาชมทัศนียภาพอันงดงามด้านบนได้เมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมา และในช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่มีฝนตกจะไม่สามารถขึ้นมาด้านบนได้ จึงทำให้ที่นี่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูงมาก จึงมีแมลง ริ้น ไร และทากอาศัยอยู่ ดังนั้นควรหาถุงเท้ากันทาก และโลชั่นหรือสเปรย์ป้องกันแมลงติดตัวมาด้วย

 

การเดินทาง

จากภูชี้ฟ้าใช้เส้นทาง 1093 มุ่งหน้าไปทางดอยผาตั้ง กระทั่งถึง บ้านร่มโพธิ์เงิน ทางขึ้นจะอยู่ขวามือ ฝั่งตรงข้ามทางขึ้นเป็นร้านค้าและมีปั๊มน้ำมันซึ่งเป็นปั๊มหยอดอยู่ การเดินทางขึ้นไปยังภูชี้ดาว จะต้องใช้รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น ระยะทางรวมประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหมู่บ้านขึ้นไป เริ่มจากถนนคอนกรีตประมาณ 300 เมตร แล้วต่อด้วยถนนที่เป็นหินปนดินแข็ง จากนั้นจะเป็นดินเละและลื่นขึนไปอีกตลอดทาง บางช่วงทางชันและแคบค่อนข้างอันตราย ถ้าหากมาในช่วงที่มีฝนอาจจะไม่สามารถขึ้นไปด้านบนได้ เมื่อถึงลานจอดรถแล้วต้องเดินเท้าขึ้นยอดภูชี้ดาวอีกประมาณ 300 เมตร ทางเดินสะดวก เพราะมีการทำดินเป็นขั้นบันไดพร้อมราวเหล็กจนเกือบถึงยอดภู

หากไม่มีรถมาเอง สามารถติดต่อกับที่พักให้จัดหารถให้ได้ หรือมาติดต่อที่ร้านค้าฝั่งตรงข้ามทางขึ้นเพื่อจ้างรถชาวบ้านขึ้นไปได้ ในช่วงไฮซีซั่นจะมีรถมาคอยให้บริการรับ-ส่ง อยู่ที่ร้านค้าแห่งนี้ด้วย หรือถ้าหากมีนักท่องเที่ยวร่วมเดินทางไปด้วยกันหลายคนก็จะคิดราคาปกติที่ให้บริการอยู่คือ 50 บาท/คน/เที่ยว นับว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับเส้นทางที่ขึ้นไปและทัศนียภาพอันงดงามที่จะได้เห็นด้านบน

สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

องค์การบริหารส่วนตำบลปอ โทร. 053 602 742, 053 602 743

กำนันทวีศักดิ์ ยอดมณีบรรพต 093 140 7132

ผู้ใหญ่บ้าน 082 184 0504

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 080 034 3984

 


 

บันทึกการเดินทาง

หลังจากที่ช่วงเย็นวันก่อนลองใช้มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปดูทางได้แค่ระยะใกล้ๆ พบว่าคนซ้อนท้ายอย่างเราต้องลงเดิน และคนขับก็เอ่ยปากว่าไม่สามารถไปต่อได้ จากที่คิดว่าจะไม่ยอมจ่ายเงินค่ารถรับจ้างก็ต้องกลับคำเพราะเกินความสามารถจริงๆ จึงกลับลงมาสอบถามข้อมูลที่ร้านค้าฝั่งตรงข้ามทางขึ้นเอาไว้ว่าจะต้องมาเจอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่นี่ก่อน 6 โมงเช้า

 

เวลา 6 โมงกว่า รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ มีเบาะนั่ง 2 แถว และติดคอกสแตนเลสอย่างดีมารอรับขึ้นภูชี้ดาว พร้อมทั้งน้องๆชาวไทยภูเขาอีก 2 คน ทำหน้าที่เปิดปิดราวท้ายรถและประตูรั้วไม้ระหว่างทาง ที่ชาวบ้านได้ทำกั้นไม่ให้วัวเข้าไปในพื้นที่ที่มีการปลูกพืชผักเอาไว้ ไม่นานนักก็ได้เวลาเดินทางขึ้นสู่ภูชี้ดาว พร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ระหว่างทางรถวิ่งขึ้นลง บอกเลยว่าทางโหดจริงทั้งหิน ทั้งถนนแตกเป็นร่อง ทั้งดินเละๆ และทางชัน
(โหดยิ่งกว่าทางขึ้นสันป่าเกี๊ยะ) ขนาดรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อยังมีลื่น ต้องจับราวสแตนเลสข้างๆไว้แน่นสุดแรงมือบีบ หวาดเสียวและจะไหวหลุดเบาะไปได้ เมื่อมาถึงลานจอดรถแล้วจึงโล่งอกโล่งใจไปเยอะ บริเวณลานจอดรถมีพื้นที่สำหรับร้านขายของแต่ในช่วงโลวซีซั่นสภาพจะดูร้างๆไปสักหน่อย ส่วนต้นไม้ที่เห็นว่าไม่มีใบหลายๆ้นบริเวณนี้คือ ต้นนางพญาเสือโคร่ง แต่พี่คนขับรถบอกว่าเป็นต้นตัวผู้ ไม่มีดอก อ้าว… กำลังจินตนาการเลยว่าถ้ามีดอกบานสะพรั่ง… เหมือนถูกปลุกจากความฝัน ^^”

 

จากลานจอดรถ ต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 3-4 ร้อยเมตร ทางดี มีขั้นบันไดพร้อมราวจับ น้องๆสองคนที่มาด้วยยังทำหน้าที่นำทางขึ้นไปอีกด้วย

 

สองข้างทางระหว่างทางเดิน เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม มีดอกไม้ ผลไม้ป่า และสายหมอกปกคลุมไปทั่ว

 

ขึ้นมาถึงช่วงก่อนถึงด้านบนเกือบ 7 โมง แต่หมอกยังคงปกคลุมอยู่หนามาก หมอกช่วงปลายฝนจะลอยสูงแบบนี้ไปทั่ว ยังมองไม่ค่อยเห็นวิวบริเวณนี้จะมีที่นั่งให้พักเหนื่อยกัน จึงนั่งรอให้หมอกจางลงอีกสักหน่อย

 

ไม่นานนักก็เริ่มมีแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมา พร้อมกับลมที่พัดโชยมาเรื่อยๆ ทำให้เริ่มมองเห็นภาพต่างๆชัดเจนยิ่งขึ้น บางจังหวะสายหมอกพัดไปตามลมมีช่วงที่ทำให้มองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น

 

จากนั้นก็เดินตามน้องๆขึ้นไปด้านบนสุดของภูชี้ดาวกันต่อเลยค่ะ น้องๆขึ้น-ลงกัวันละหลายรอบ ดูน่าจะแข็งแรงกันมากเลยนะคะเนี่ย

 

เริ่มมองเห็นวิวด้านล่างบ้างแล้วค่ะ สวยมาก

 

และมองเห็นทางขึ้นได้อย่างชัดเจนแล้ว เดินได้สะดวกขึ้นมาหน่อย และที่สำคัญเลยคือสามารถมองเห็นกองมูลวัวอยู่ตามทางเดินหลายกองมาก วัวป่าขึ้นมากินหญ้ากันถึงข้างบนเลยเหรอเนี่ย!! ดูลักษณะแล้วยังสดๆอยู่ เหมือนเพิ่งขึ้นมาแล้วลงไปเช้าวันนี้นี่เองนะ ถ้าเดินขึ้นมาตอนหมอกหนาๆต้องมีพลั้งเดินไปเหยีบกันบ้างแน่ๆ

 

มองกลับไปทางด้านหลังอีกที เอ๊ะ นั่นน้องสองคนนั้นเมื่อกี๊ยังเดินนำขึ้นมาอยู่เลย ไปนั่งรอตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรล่ะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

 

เมื่อมาถึงด้านบนยอดภูชี้ฟ้า ที่นี่มีทางเดินที่ไม่กว้างนักจึงต้องมีรั้วไม้กั้นไว้รอบทางหน้าผา สามารถมองเห็นวิวได้อย่างกว้างไกลถ้ามีหมอก

ไม่มาก เป็นอีกจุดที่สามารถชมทะเลหมอกและทิวเขาได้อย่างงดงามมากเลยค่ะ

 

 

 

บรรยากาศจากบนยอดภูชี้ดาว แม้ว่าหมอกจะหนาไปหน่อย แต่ก็สวยไม่น้อยเลยค่ะ

 

ด้านบนนี้แม้ว่าจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ แต่ต้นไม้ล็กๆ ดอกไม้ใบหญ้าก็ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก

 

บอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ควรมาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง หากมาเที่ยวเชียงรายแล้ว นอกจากภูชี้ฟ้า ก็อย่าลืมเลยมาเที่ยวดูทะเลหมอก และชมวิวจากมุมสูงกันที่ภูชี้ดาวด้วยนะคะ

 

อ่านเรื่อง “ภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย ปลายหน้าฝน” >> http://gowithampth.com/phu-chi-fa

 




Uncut

ถ่ายรูป ชมวิว จนหนำใจ เดินกลับลงมานั่งรอให้ครบทุกคนที่นั่งรถคันเดียวกันมา เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกระดึ๊บๆอยู่บนพื้น เราคิดว่าเป็นทาก เพราะหัวมันเป็นสามเหลี่ยม ชูคอขึ้นมาเกือบสุดตัวแล้วค่อยๆกระดึ๊บๆไปเรื่อยๆ แต่เพื่อนข้างๆบอกว่าเป็นหนอน จังหวะที่นั่งรถกลับ ขามานั่งหลังกระบะหลังแต่ขากลับนั่งข้างหน้า จู่ๆรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ที่ข้อเท้า คิดว่ายุงหรือริ้นไรกัดเลยเอามือเอื้อมลงปัด แต่สิ่งที่สัมผัสได้มันหยึยๆและตัวใหญ่เกินยุง จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไฟส่องดูที่ถุงเท้า … คือตัวที่มันกระดึ๊บๆตรงพื้นเมื่อกี๊อะ ตกใจมาก เพราะปกติกลัวหนอน บอกตรงๆเลยไม่ชอบ คือกลัวขั้นควบคุมสติไม่อยู่ เลยให้เพื่อนข้างๆหยิบออกให้แล้วถอดรองเท้าออก ลองพลิกเท้าดูปรากฎว่ามีอีก 2 ตัวกำลังกระดึ๊บๆอยู่ใต้ส้นเท้า เราเริ่มโวยวายขึ้นมา เพื่อนรีบหยิบออกให้แล้วบอกให้เงียบเพราะคนขับกำลังใช้สมาธิทางลงก็ชันและลื่นด้วย รีบหุบปากทันทีแต่ในใจนี่กระวนกระวายมาก ถอดรองเท้าอีกข้างออก สำรวจเท้าทั้งสองข้างไม่มีอะไรแล้ว แต่ไม่กล้าใส่รองเท้าแล้ว เมื่อรถถึงข้างล่าง เดินหิ้วรองเท้าลงมานั่งแล้วถอดถุงเท้าสำรวจที่เท้าอีกครั้ง เพื่อนดูที่รองเท้าให้ว่าไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าใส่ จากนั้นเพื่อนลองสำรวจเท้าตัวเองบ้าง พอถอดรองเท้าออกมา มีตัวอะไรดำๆอ้วนๆหลุดกลิ้งออกมาด้วย พอดูที่ง่ามนิ้วเพื่อน อ๊าก!!!!! ทาก!!!! กำลังดูดเลือดกันอยู่ 5-6 ตัว แถมมีเลือดออกอีกสองสามจุด ขนลุกมาก! เราเนี่ยขนลุก คือเพื่อนไม่ได้ใส่ถุงเท้าแล้วอิตัวกระดึ๊บๆนั่นอะมันคือทาก!! มันไม่ใช่หนอน!! คนขับรถเอา กย. 15 มายื่นให้บอกว่าถ้าเอาป้ายที่ตัวมัน มันจะตายแล้วหลุดออกมา เพื่อนจะยอมให้ทากกัดจนปล่อย เพราะจะได้รอให้มันปล่อยยาสมานให้เอง แต่มันเยอะเกินไป พอป้ายยากันยุงเข้าไป ทากุจังตัวอ้วนๆก็ค่อยๆหลุดออก คราวนี้ก็ห้ามเลือดกันไป ถามหายาสูบก็ไม่มี ใบเสือหมอบก็ไม่รู้จะหาที่ไหน ได้พลาสเตอร์ยามาช่วยปิดไว้แล้วรอให้เลือดหยุดไหลเอง เอาจริงๆเคยเห็นและเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นมันดูดเลือดใครต่อหน้าต่อตาแบบนี้ โหดมาก!! ว่าแต่…. ทำไมมันถึงไม่ดูดเลือดเราล่ะ เราไม่หอม? เลือดเราน้อย? หรือเพราะถุงเท้าที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นมันหนา หรือทากเพิ่งเข้าไปยังไม่ทันได้เจาะ … แต่พอเถอะ ดีแล้ว แค่เห็นยังแทบร้อง ถ้าโดนดูดเลือดด้วยคงไม่ไหวแน่ๆเลย ^^”

ปิดความเห็น บน ภูชี้ดาว จ.เชียงราย มองไปทางไหนก็มีแต่สายหมอก