Hotel,  Restaurant,  travel story

เกาะช้าง จ.ตราด (3 วัน 2 คืน / ไม่มีรถส่วนตัว)

เกาะช้าง จ.ตราด

พอเข้าหน้าร้อน ก็อยากไปนอนริมทะเล – – – “ไปทะเลกันไหม” เราเอ่ยปากชวนผู้ร่วมทริปก่อนวันเดินทางไม่ถึงเดือน พอได้รับคำตอบว่า “ไป” ก็รีบหาข้อมูลทันที โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ “เกาะ ทางภาคตะวันออก” พอนึกขึ้นมาในหัวแล้วอยากไปหลายเกาะมาก แต่สุดท้ายมาลงตัวที่ “เกาะช้าง” เพราะน่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากที่สุดแล้ว ถ้าไม่นับรวมเกาะที่ไปง่ายๆและไปได้บ่อยๆ อย่างเช่น เกาะเสม็ด เกาะล้าน

การเดินทางไปเกาะช้างแบบไม่มีรถส่วนตัว จาก กทม.

– รถทัวร์ บขส. 999 : กทม. – ตราด / กทม. – แหลมงอบ ขึ้นที่สถานีขนส่ง เอกมัย หรือสถานีขนส่ง หมอชิตราคาสองร้อยกว่าบาท
– รถทัวร์ บริษัท เชิดชัยทัวร์ (ภาคตะวันออก) : กทม. – ตราด ขึ้นที่สถานีขนส่ง เอกมัย ราคาสองร้อยกว่าบาท
– รถตู้ : มีทั้งที่ เอกมัย และ หมอชิต ราคาสามร้อยกว่าบาท มีรถออกทุกๆชั่วโมง

* รถทัวร์ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง รถตู้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง แต่ถ้าเน้นประหยัดแนะนำให้ขึ้นรถทัวร์ค่ะ ถึงช้ากว่าแต่ก็ปลอดภัยและนั่งสบายด้วย ถ้าเป็นรถที่ไปถึงแค่สถานีขนส่งจังหวัดตราด หรือขนส่งแสนตุ้ง จะต้องต่อรถสองแถวเข้าไปท่าเรืออีกคนละ 50 บาท

รถทัวร์ กทม. – แหลมงอบ ขึ้นที่สถานีขนส่ง เอกมัย  เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะราคาถูก และไปส่งถึงท่าเรืออ่าวธรรมชาติ ราคา 239 บาท/เที่ยว ถ้าจองไว้ทั้งไปและกลับ ราคาอยู่ที่ 452 บาท ขาไปมีเวลา 07.45 น. และ 09.00 น. ส่วนขากลับมีเที่ยวเดียว เวลา 14.00 น. “ควรจองล่วงหน้าเพราะช่วงไฮซีซั่นจะเต็มไวมาก”

 

เรือข้ามฟากไปเกาะช้าง

ท่าเรือข้ามฟากเกาะช้าง มี 2 ที่ คือ
1. ท่าเรือเฟอรี่ เกาะช้าง หรือ ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ : ใช้เวลาในการเดินทางถึงเกาะประมาณ 20-30 นาที ลงท่าเรืออ่าวสับปะรด บนเกาะช้าง ราคา 80 บาท/เที่ยว ถ้านำรถยนต์ไปด้วย ราคา 120บาท/คัน (ไม่รวมคน) ไม่สามารถซื้อเที่ยวกลับเอาไว้ก่อน ให้บริการตั้งแต่เวลา 6:00 น. – 17:00 น. ช่วงเทศกาลให้บริการจนกว่ารถจะหมด ออกทุกๆ 30 นาที
2. ท่าเซนเตอร์พอยท์ เฟอร์รี่ : ที่นี่เป็นท่าเรือที่เปิดให้บริการมานานกว่า ใช้เวลาเดินทางถึงเกาะประมาณ 45-60 นาที ลงที่ท่าเรือบ้านด่านเก่าบนเกาะช้าง ราคา 80 บาท สามารถซื้อตั๋วไป-กลับได้ในราคา 120 บาท รถยนต์ลงเรือคันละ 100 บาท ไป-กลับ 160 บาท ให้บริการตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 19.00 น. ออกทุกๆ 1 ชั่วโมง

* ถ้าไม่มีรถส่วนตัวไปด้วย แนะนำให้ลงเรือที่ท่าเรือเฟอรี่ เกาะช้าง หรือ ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ เพราะเมื่องถึงเกาะแล้ว เดินออกไป ฝั่งตรงข้ามถนนจะมีร้านมอเตอร์ไซค์ให้เช่าเลย มีรถสองแถวไว้คอยให้บริการหลายคันด้วย

 

การเดินทางภายในเกาะช้าง สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว

– มอเตอร์ไซค์เช่า : ราคาอยู่ที่ 200-250 บาท/วัน แล้วแต่รุ่น มีที่ฝั่งตรงข้ามท่าเรืออ่าวสับปะรด / หาดทรายขาว / ตามที่พักหลายๆที่
– รถสองแถว : ราคาแล้วแต่ตกลง ถ้าไปไม่ไกลมากจะอยู่ที่ประมาณ 50 บาท/คน/เที่ยว ถ้าไปกันหลายๆคน สามารถเช่าแบบเหมาทั้งคันหรือเหมาเป็นวันได้เลยค่ะ แต่ต้องตกลงราคากันให้ดีๆก่อน

เมื่อมาถึงเกาะช้างแล้ว จากท่าเรือ ถ้าไปทางซ้ายจะเป็นแถบที่ค่อนข้างเงียบ มีน้ำตกหลายจุด ไม่ค่อยมีชายหาด แต่น้ำทะเลสีสวย สามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้ ถ้าจากท่าเรือไปทางขวา จะเป็นฝั่งที่มีชายหาดทั้งแถบ มีทางเข้าน้ำตกด้วย แต่ไม่มีหาดสาธารณะกว้างๆ เพราะทั้งแถบจะเต็มไปด้วยที่พัก บางจุดมีป้ายบอกว่าเป็นทางลงหาดสาธารณะ ซึ่งเป็นทางแคบๆให้เข้าไปลงเล่นน้ำทะเลได้ หรือบางจุดก็สามารถขออนุญาตรีสอร์ทเข้าไปยังชายหาดได้เช่นกัน ไม่สามารถเดินทางแบบรอบเกาะได้นะคะ เนื่องจากตัดถนนไม่ถึงกัน (ถ้าดูตามแผนที่ อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะถึงกันอยู่แล้ว) ต้องเลือกว่าจะไปทางฝั่งไหน หรือถ้าอยากไปทั้งสองฝั่งก็ต้องแพลนเวลาไว้ให้ดีๆหน่อย

 

เมื่อทราบข้อมูลแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางค่ะ

วันที่ 1 : จาก กทม. สู่ เกาะช้าง

เริ่มต้นการเดินทางกันที่ สถานีขนส่งเอกมัย ใจเราอยากไปรถตู้เพราะกลัวเสียเวลา แต่ราคาตั้ง 320 บาท พอดีกับผู้ร่วมทริปอยากไปรถทัวร์ ถึงช้ากว่าหน่อยแต่ถูกกว่าเยอะ ตั้งใจว่าจะไปรอบ 7.45 น. แต่รอบนั้นคนเต็มแล้ว รถทัวร์ของเชิดชัยก็ออกตั้ง 09.30 น. นู่นเลย จำใจต้องจองในรอบถัดไปคือ 09.00 น. ราคาปกติ 239 บาท/เที่ยว ถ้ามี Dtac ลดไปอีก 50 บาท (สำหรับการจอง 1 ครั้ง/ 1 คน ใช้ได้ถึง 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น) เท่ากับว่าจ่ายค่ารถขาไปแค่ 189+239 = 428 บาท ถ้าซื้อทั้งไปและกลับ ราคาอยู่ที่ 452 บาท/ คน แต่ขากลับมีแค่รอบ 14.00 น. ซึ่งเต็มแล้ว ไม่เป็นไร เอาขาไปให้ได้ก่อน ขากลับค่อยว่ากันทีหลัง

เดินออกมาทานข้าวร้านหน้าขนส่ง มีอยู่ร้านเดียว มีทั้งข้าวราดแกงและก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง 2 อย่าง 40 บาท / 3 อย่าง 50 บาท หน้าตาดูน่าทานแทบทุกอย่างเลยค่ะ แต่ให้น้อยมาก แอบตกใจเมื่อเห็นปริมาณอาหารในจานของตัวเอง ผู้ร่วมทริป และของโต๊ะข้างๆที่เป็นชาวต่างชาติ (คหสต: ทานข้าวราดแกงอยู่บ่อยๆ ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด แต่ไม่เคยทานที่ไหนแล้วรู้สึกว่ามันได้น้อยมากขนาดนี้มาก่อน เมื่อเทียบกับราคา หรือจะบอกว่าเป็นโซนเอกมัย ที่ฟังดูเหมือนอะไรๆก็แพงไปซะหมด อย่างนั้นหรือเปล่า… แต่ไม่มีตัวเลือกอื่น นอกจากถ้ามีเวลามากๆก็ข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ ทำไมเรารู้สึกอายชาวต่างชาติโต๊ะข้างๆ ที่แววตาและสีหน้าคงคิดไม่ต่างไปจากเรา หรือเราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้มั้ง ฮ่าๆๆ)

จู่ๆก็ปวดอึ๊ขึ้นมา… ตอนแรกเข้าใจว่าห้องน้ำในสถานีขนส่งจะไม่มีสายชำระ เราชอบแบบที่มีสายชำระ เว้นแต่ถ้าไม่ไหวสุดๆแล้วถึงจะยอม ฮ่าๆๆๆ เดินออกไปหาห้องน้ำข้างนอก เดินไปยันท้องฟ้าจำลอง สุดท้ายต้องกลับมาเข้าที่สถานีขนส่ง เพราะห้องน้ำในท้องฟ้าจำลองยังไม่เปิด ที่ไหนได้ ห้องน้ำที่นี่ก็มีสายชำระ แถมยังเข้าฟรีอีกด้วย

 

นั่งเล่นรอเวลาไปกระทั่งใกล้ 9 โมง รถมาจอดเทียบท่า ด้านหน้าจุดขายตั๋ว ที่นั่งเป็นเบาะหลังสุดเลยจ้า ความจริงไม่ชอบนั่งหลังเพราะคิดว่ารถเหวี่ยงจะทำให้เมารถได้ง่ายกว่า แต่เบาะหลังสุดมีข้อดีตรงที่สามารถปรับเบาะเอนไปด้านหลังได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใคร นอนยาวไปเลยจ้า

ไม่ลืมคาดเข็มขัดนะคะ คาดแล้วเอนเบาะนอนได้

รถเคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่งเอกมัยไม่นานนัก เจ้าหน้าจะเดินมายื่นกล่องขนมทานเล่นพร้อมน้ำเปล่าให้ค่ะ

ภายในกล่องมี ขนมปังกรอบ เซ็ตกาแฟ ผ้าเย็น และหลอดเจาะน้ำดื่ม

รถออกช้านิดหน่อย วิ่งไปเรื่อยๆ สบายๆ กระทั่งถึงจังหวัดชลบุรี รถจะแวะปั๊มน้ำมัน 15 นาที สามารถลงทานข้าว ซื้อขนม เข้าห้องน้ำ หรือลงไปยืดเส้นยืดสายกันได้ จากนั้นออกเดินทางต่อจนถึง “ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ” ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 6 ชั่วโมงหน่อยๆ ลงจากรถแล้วเดินไปซื้อตั๋วเรือ คนละ 80 บาท แล้วรีบเดินไปยังท่าเรือ

‘อ้าว…เรือออกไปแล้วอ้ะ!!’   แต่ดีหน่อยที่เรือออกทุกๆครึ่งชั่วโมงจริงๆ แรกๆลงจากรถแบบงงๆเพราะเปิดดูกูเกิ้ลแม็ป บอกว่าเราอยู่ท่าเรือเซ็นเตอร์พ้อยท์ ต้องเดินถามคนนั้นคนนี้กว่าจะมั่นใจก็ตอนที่เรือออกไปใกล้จะถึงเกาะแล้วนั่นแหละค่ะ ^^”

มองดูเมฆเหนือเกาะข้างหน้านั่นสิ ทำไมไปรวมกลุ่มก้อนกันอยู่แต่ตรงนั้นล่ะ ออกเดินทางมาตลอดทางยังมีแต่แดดเปรี้ยงๆ

ก่อนถึงเกาะ จะมองเห็นวิวภูเขาและชายหาดเล็กๆ ที่ดูงดงามตามธรรมชาติ อดใจไม่ไหวจนต้องหยิบกล้องออกมาซูมแล้วลั่นชัตเตอร์รัวๆ

ใช้เวลาลงเรือมาเกือบครึ่งชั่วโมง เรือจะมาเทียบท่าอยู่ที่ “ท่าเรือเฟอร์รี่ อ่าวสับปะรด” จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว พอลงจากเรือได้ก็รีบเดินไปยังร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนทันที เหลือมอเตอร์ไซค์อยู่ 2 คัน เกียร์ธรรมดา ราคาคันละ 250 บาท/วัน เนื่องจากวันนี้เราจะไปทางฝั่งซ้ายที่ไม่มีหายหาดกันก่อน จองที่พักแถบนั้นมาแล้วเรียบร้อย จึงทำการเช่ามาหนึ่งคัน มีน้ำมันอยู่ครึ่งถัง วันคืนรถต้องเติมน้ำมันคืนที่ครึ่งถังพร้อมกับชำระค่าเช่าทีเดียวเลย

เดิมวางแผนไว้ว่าจะเที่ยวน้ำตกฝั่งนี้สักสามที่แล้วเข้าที่พัก แต่เวลาและสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก ถึงแม้ว่าฝนจะหยุดตกก่อนที่เราจะบึ่งมอเตอร์ไซค์ออกมา แต่ท้องฟ้ายังดูครึ้มๆ จึงตัดสินใจเข้าเช็คอินที่พักกันก่อน

 

ที่พักสำหรับคืนแรกของเราคือ “ลุงเฉลิมบังกะโล” จากท่าเรือ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 10.5 กิโลเมตร ก็จะพบป้ายทางเข้าอยู่ทางซ้ายมือแล้ว ที่นี่เราพบจากกูเกิ้ลแม็ปนะคะ เดิมเกือบจองอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีข้อมูลอยู่ในแอปพลิเคชั่นเจ้าประจำของเรา แต่เนื่องจากเราวางแผนท่องเที่ยวจากแผนที่เป็นหลัก พอหาข้อมูลประกอบกับศึกษาแผนที่ไปเรื่อยๆ จึงมาลงตัวที่ “ลุงเฉลิมบังกะโล” ด้วยทำเล และราคา ประกอบกับมีคนพูดถึงอยู่ไม่ขาดสาย ภายในบริเวณที่พักมีบ้านพักเป็นหลัง ราคาน่าคบหาสุดๆไปเลย  ถ้าให้เราเลือกเราคงเน้นถูกที่สุด แต่เมื่อมีผู้ร่วมทริปมาด้วยก็ต้องถามความเห็นกัน สรุปจบอยู่ที่ห้องแอร์ค่ะ ไม่มีอาหารเช้านะคะ แต่ที่นี่มีร้านอาการไว้คอยให้บริการตั้งแต่ 07.30 – 21.00 น. กันเลยทีเดียว ราคาอาหารไม่แพงมาก
บ้านทุกหลังมีเตาปิ้งย่างไว้ให้ใช้กันฟรีๆ เพียงแต่ต้องออกไปหาซื้อถ่านและอาหารกันเองที่ สลักคอก หรือแถวๆหาดทรายขาว ซึ่งทั้งสองที่นั้นจะอยู่ห่างออกไปราวๆ 10 กิโลเมตร หรือถ้าใครขับรถมาเอง ขนมาจากฝั่งก็สะดวกดีค่ะ เหมาะมากๆสำหรับมากันเป็นครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน ถ้ามากันสองคนอย่างเราก็ประหยัดดีนะคะ ที่นี่วิวดีด้วย มีชายหาดเล็กๆให้ลงไปเล่นน้ำทะเลได้
ติดต่อ : คุณตู่ 081-175-6346 / 039-586-066
ราคาที่พัก : บ้านพัดลม 300 บาท/คืน และแอร์คอนดิชั่น 500 บาท/คืน (มีเตาย่างให้ยืม ฟรี ทุกหลัง)
ราคาอาหาร : อาหารจานเดียว 50 บาท เป็นกับข้าวจานละ 80 – 300 บาท

เมื่อฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง ชวนกันออกไปข้างนอกต่อ แต่เสียดายที่เข้าน้ำตกใกล้ๆไม่ได้ เนื่องจากหมดเวลาทำการ จึงพากันไปเรื่อยๆ ไปได้สักพักมองเห็นสะพานยาวๆยื่นออกไปในทะเล อยู่ทางซ้ายมือ จึงชวนกันแวะไปแชะภาพ ระหว่างนั้นฝนก็ตกปรอยๆสลับหยุดเป็นระยะๆ

ที่นี่วิวดีมาก อยู่บริเวณนี้นานเลยค่ะ ยิ่งมองออกไปก็ยิ่งเพลินตา

มีคนแล่นเรือมาแถวนี้ด้วย

มองไม่ออกว่าพี่ๆเขาทำอะไรกัน คล้ายๆว่าจะมาเช็คแหหรืออวนที่ล้อมอยู่ใกล้ๆชายฝั่ง

มาแวะเก็บภาพกันบริเวณ ฐานปฏิบัติการเฝ้าระวังกช. ที่ 1 (อ่าวเกาะรัง) กันสักหน่อย

แล้วจึงไปจนสุดทางตามแผนที่ จะพบกับ “อนุสรณ์สถานเกาะช้าง” เป็นคนละที่กับ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่ง บริเวณแหลมงอบนะคะ

มีชายหาดลงเล่นน้ำทะเลได้ แต่มีโขดหินค่อนข้างมาก มองเห็นเกาะเหลาหยาอยู่ไม่ไกลด้วยค่ะ

กว่าจะมาถึงตรงนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว ได้ชมวิวพระอาทิตย์ตกพอดี แม้ว่าจากจุดนี้จะเห็นเพียงแสงอาทิตย์เหลื่อมๆไปทางขวามือเท่านั้น แต่ก็ดูสวยงามไม่น้อยเลยล่ะค่ะ

แสงของวันใกล้จะหมดลงทุกทีๆ ต้องรีบชวนกันกลับเข้าที่พัก เพราะถนนหนทางคดเคี้ยว ขึ้นลงเขาหลายจุด ไม่ทันถึงครึ่งทางก็มืดซะก่อนแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง ต้านลมกันไปจนรู้สึกหนาว มีหมอกคละคลุ้งขึ้นมาจากถนนและริมทางเต็มไปหมด นี่มันฤดูอะไรกันคะเนี่ย

มาถึงที่พัก จอดรถ เก็บของ แล้วตรงดิ่งไปยังร้านอาหารทันที “หิวแล้ว” ต่างคนต่างมองหน้ากันแล้วพูดตรงกันเป๊ะ ค่ำนี้จัดกับข้าวสองอย่าง ข้าวเปล่าสองจาน น้ำอัดลมขวดเล็ก 1 ขวด ดีนะที่สั่งกับข้าวแค่สองอย่าง เยอะมาก แน่นพุงมาก รสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ ขนาดบ่นว่าอิ่มยังซัดซะแทบเกลี้ยง สรุปรวมมื้อนี้หมดไป 300 บาทถ้วนค่ะ

 

วันที่ 2 : แช่น้ำตกเย็นๆ แล้วไปเล่นน้ำทะเลให้หนำใจ

ตื่นสายไม่ทันได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น ห้องแอร์นี่ไม่ดีนะคะ ทำให้ขี้เกียจ (ใช่หรา!!!) ฮ่าๆๆๆ ได้แต่เดินออกไปชมวิว เล่นน้ำทะเลนิดหน่อยก่อนเช็คเอ๊าท์

มีชิงช้าให้นั่งแกว่งไกว เล่นได้ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่

มีเปลญวนให้นอนเล่นใต้ต้นมะพร้าวด้วยนะ

เก้าอี้ริมทะเล นั่งมองทะเลชิลๆเพลินๆ ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

มีเพื่อนมาเล่นด้วยตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา มานอนเฝ้าหน้าบ้าน เช้าก็มาหาอีก น่ารักจัง ^^

แวดล้อมร่มรื่น มีต้นไม้น้อยใหญ่ มีวิวชายหาดเล็กๆให้ลงเล่นน้ำได้ ราคาไม่แพง คือลงตัวเลยค่ะสำหรับที่นี่

กลับเข้าห้อง อาบน้ำเสร็จแล้วก็หิว เดินไปร้านอาหารสั่งอาหารจานเดียวแบบด่วนๆ

วันนี้เราจะเลาะไปอีกฝั่งของเกาะช้างกันค่ะ จะไปหาทัลเล (ทะเล) แต่ก่อนไปหาทะเล ต้องเก็บน้ำตกให้ได้สักที่ก่อนนะ ไปค่ะ ขอชะแว๊บไปยังน้ำตกที่ผ่านแล้วปิดเมื่อวานนี้กันซะก่อนเลย ออกจากลุงเฉลิมโฮมเสตย์แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ 2.6 กิโลเมตรเท่านั้น ก็จะถึงทางเข้า “น้ำตกธารมะยม” กันแล้ว

น้ำตกแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะช้าง

เป็นน้ำตกขนาดกลาง มี 4 ชั้น ลักษณะเป็นธารน้ำไหลผ่านมาเป็นชั้นๆ ตามร่องหินแกรนิตสีดำ ค่าเข้าคนละ 40 บาท (ชาวไทย) เดินจากที่ทำการเข้าไปด้วยระยะทางเพียง 400 เมตร เท่านั้นก็จะได้พบกับน้ำตกแล้วค่ะ จริงๆแล้วเมื่อเข้าฤดูร้อน น้ำตกในเกาะช้างแทบจะไม่มีน้ำ แต่ช่วงนี้บางวันมีฝนตก จึงยังมีน้ำไหลอยู่ ถือว่าโชคดีนะเนี่ย

ที่นี่ชะอุ่มมาก ต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงมอสเล็กๆยังเขียวชะอุ่มไปทั่ว

เมื่อเดินออกมา ด้านหลังป้อมของเจ้าหน้าที่อุทยานฯจะมีคลองน้ำไหลผ่าน น้ำจากน้ำตกและน้ำในทะเลจะไหลมาบรรจบกันในบริเวณนี้ด้วยค่ะ

มองลงไปดูในน้ำที่คาดว่าเป็นน้ำกร่อย เพราะใกล้ปากอ่าวที่น้ำจืดและน้ำเค็มมาบรรจบกัน เห็นปลาเข็มตัวใหญ่ๆเต็มไปหมดเลย ตัวใหญ่มากๆด้วย

เดินเล่นและถ่ายรูปกันอยู่ที่นี่ไม่นานก็ออกเดินทางต่อ มาแวะที่ “น้ำตกคลองนนทรี” อยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก ระหว่างทางเข้าไปจะพบต้นทุเรียนอยู่ละลานตาเลยค่ะ

เอ่อ.. คือ… คนข้างหน้าก็รีบขับ ให้จอดก็ไม่จอด คนข้างหลังก็จะกดชัตเตอร์ ตั้งค่าอะไรไม่ทันแล้ว พอจะดูออกเนอะว่าเป็นต้นทุเรียน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ที่นี่ไม่ได้อยู่ในความดูแลของอุทยานฯ ไม่เสียค่าเข้า บริเวณชั้นล่างมีความเป็นธรรมชาติสูง จึงลงเล่นน้ำกันที่นี่นานหน่อย น้ำเย็นสบายและใสดี เพลินเลยแหละ

มีผีเสื้อน้อยๆบินว่อนอยู่เต็มไปหมด น่ารักมากเลย บรรยากาศดีมาก…. ธรรมชาติสุดๆ

เดินขึ้นไปดูชั้นที่สอง มีการก่อปูนให้เป็นแอ่งน้ำ ไม่ลึกมาก เด็กๆมาลงเล่นน้ำกันตรงนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่ต้องมีผู้ใหญ่คอยดูด้วยนะคะ

 

สถานีต่อไปของเรา คือ ทะเล และหาดทราย ขับรถเลาะไปเรื่อยๆกระทั่งถึงบริเวณ “หาดทรายขาว” รู้มาว่าเป็นหาดที่ยาวที่สุดในเกาะช้าง ถ้าช่วงเป็นช่วงต้นๆหาด จะมีทรายที่ละเอียดและมีสีขาวกว่า น่าลงเล่นมากกว่า แต่ถ้าเป็นปลายๆหาด ทรายจะเม็ดใหญ่ แต่ทั้งนี้ อย่างที่รู้ๆกันอยู่แล้วว่า ชายหาดในเกาะช้างแทบทั้งหมดเต็มไปด้วยรีสอร์ทน้อยใหญ่ มีเพียงบางจุดที่มีป้ายบอกว่าเป็นทางลงหาดสาธารณะ ซึ่งเป็นทางเล็กๆแคบๆ โปรดสังเกตป้ายบอกทางกันให้ดีๆนะจ๊ะ แต่ชายหาดที่มีรีสอร์ทอยู่ โดยส่วนใหญ่แล้วสามารถขอผ่านรีสอร์ทเข้าไปเล่นน้ำทะเลได้นะคะ ส่วนเรา ถึงต้นๆหาดทรายขาวก็พบป้าย “ทางลงหาดสารธารณะ” แล้ว ไม่รีรอค่ะ รีบเลี้ยวรถเข้าไปแวะทันที น้ำใสมาก….. ทรายก็ขาว สมชื่อ หาดทรายขาว จริงๆ

น้ำใสจนมองเห็นปลาขึ้นมาแหวกว่ายอยู่ตื้นๆ หรือเพราะถูกคลื่นซัดขึ้นมาก็เป็นได้

แดดแรงมาก โลชั่นกันแดดและกันน้ำสำคัญมาก แต่เราไม่ได้ทา ยอมดำเพราะอยากเล่นน้ำ เต็มที่ไปค่ะ รอผิวปรับสภาพคืนเอง (นึกกลัวอย่างเดียว คือ มะเร็งผิวหนัง… ขออย่าให้เป็นถึงขั้นนั้นเลยเนอะ ^^” ) ลงเล่นน้ำทะเลจนเค็มทั้งตัว แถมแสบด้วย (แดดแรงมาก) ชวนกันขึ้นมายังชายหาด จะหาน้ำล้างตัวก็มองไปเห็นแต่ฝักบัวในร้านอาหาร ไม่กล้าเข้าไปขอใช้จริงๆ เกรงใจ เก็บความเค็มเอาไว้ก่อน

เราพักทานข้าวกลางวันกันที่ร้าน ชายสี่หมี่เกี๊ยว บริเวณข้างโลตัสเล็ก ทางขวามือ โซนหาดทรายขาว ราคาไม่แพง และอร่อยมาก!! อร่อยที่สุดในบรรดาร้านชายสี่ที่เราเคยทานมาเลยแหละ ข้าวหมูกรอบหมูแดงก็อร่อย ต้องลองมาชิมนะคะ

ระหว่างทางขอแวะซื้อผลไม้สักหน่อย ราคาไม่แพงอย่างที่คิด จัดกล้วยไข่มาด้วย 1 หวี แค่ 5 บาทเองนะ ถูกมาก

พอพูดถึงผลไม้ทำให้นึกถึงทุเรียน เพราะที่เกาะช้างมีชาวบ้านปลูกทุเรียนอยู่เยอะเหมือนกันนะคะ เราได้เห็นตั้งแต่ตอนลงเรือมาจากฝั่ง มีรถกระบะขนทุเรียนเป็นคันรถขึ้นฝั่งสวนทางเราไป พอมาถึงเกาะก็ได้เห็นต้นทุเรียนอีกเยอะมาก แต่ราคาไม่น่ารักเลย ครั้งแรกถามร้านเล็กๆริมทาง บอกราคา กิโลกรัมละ 250 บาท เรานี่ถึงกับอึ้ง พอมาถึงโซนที่มีร้านขายผลไม้เยอะๆ มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่เจ้าของร้านผลไม้ท่านหนึ่ง ร้านพี่เขาขายกิโลกรัมละ 180 บาท แต่เรายังรู้สึกว่ามันแพงมากอยู่ดี พี่เขาให้ข้อมูลมาว่า ทุเรียนที่นี่เป็นพันธุ์ชะนี เรียกกันว่า “ชะนีเกาะช้าง” ‘ทางผู้หลักผู้ใหญ่ (เราไม่ได้ถามเจาะลึกว่าเป็นใคร) เขาจะให้ทำเป็นของดีประจำเกาะช้าง ให้เหมือนอย่างทุเรียนนนฯ ตั้งราคาให้ขายหน้าร้าน 250 บาทต่อกิโลกรัม เขากำลังเริ่มๆกันอยู่ แค่ขายส่งก็กิโลละ 130-150 บาทเข้าไปแล้ว เมื่อปีสองปีก่อนกิโลฯละ 50-60 เอง’ เราแอบอึ้งกับความคิดนี้เล็กน้อย เพราะนั่นเป็นพันธุ์ชะนี อย่างที่คอทุเรียนจะรู้ๆกันดีอยู่แล้วว่ารสชาติเป็นอย่างไร ขนาดพี่เขาเป็นคนท้องถิ่นเขายังพูดเลยว่ารสชาติสู้พันธุ์หมอนทองไม่ได้ ลูกก็เล็ก หมอนทองยังถูกกว่าเยอะเลย โดยส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้สักเท่าไรนัก เพราะเขาจะขายได้แค่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนมีเงินถุงเงินถัง ซึ่งมันไม่ได้รสชาติดีและหาได้ยากอย่างทุเรียนนนฯ เอาไปเทียบกันไม่ได้

 

ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก ซื้อกล้วยไข่แล้วขอลาคุณพี่เจ้าของร้านผลไม้ออกมา เพราะเก็บความเค็มเอาไว้อยู่ แล้วแว๊นไปต่อกันที่ “น้ำตกคลองพลู” ไม่ต้องหาน้ำที่ไหนล้างแล้ว ไปลงน้ำตกเลยก็แล้วกัน

น้ำตกคลองพลู เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะช้าง อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะช้าง เช่นกัน  อยู่ช่วงกลางๆเกาะช้าง ค่อนมาทางหาดคลองพร้าว ถ้าขับรถมาจากท่าเรือ หาดคลองพร้าวจะอยู่ทางขวามือ ส่วนทางเข้าน้ำตกคลองพลู อยู่ทางซ้ายมือ จากถนนเส้นหลักเลี้ยวเข้าไปประมาณ 1.6 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานฯ

เราไม่ต้องเสียค่าเข้าเพิ่ม เพราะบัตรเข้าอุทยานแห่งชาติ ใช้ได้ทุกพื้นที่ภายในอุทยานภายในวันเดียวกัน (ใช้ได้กับทุกอุทยานแห่งชาติ แต่ต้องเป็นภายในวันเดียวกัน) แล้วต้องเดินเข้าไปยังน้ำตกอีก ประมาณ 800 เมตร ระหว่างทางเดินสามารถมองเห็นธารน้ำที่น้ำตกไหลผ่านลงมา มีหินก้อนน้อยใหญ่อยู่มากมาย

เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนถึงน้ำตกจะมีป้ายบอกระวังหินลื่น จุดนั้นจะมีตะพาบน้ำตัวใหญ่ๆอยู่ในน้ำด้วยนะคะ ถ้าโชคดีจะได้เห็นขึ้นมาแหวกว่ายน้ำเล่นท่ามกลางฝูงปลา แต่ห้ามจับและห้ามให้อาหารเด็ดขาด!

ไม่นานก็เจอป้ายน้ำตกแล้วค่ะ

โชคดีที่ยังมีน้ำให้ลงเล่น ถ้าเป็นฤดูนี้ปกติน้ำคงไม่มากขนาดนี้ และถ้าเป็นฤดูน้ำหลาก บริเวณนี้อาจจะลงเล่นแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป

ก่อนลงเล่นน้ำ ขอเดินดูรอบๆซะก่อน อยากสัมผัสธรรมชาติให้ได้มากๆ เดินตามโขดหินไปเรื่อยๆสังเกตเห็นอะไรบางอย่างลักษณะเป็นฝอยๆมีสีม่วงเข้ม อยู่เต็มพื้นเป็นบริเวณกว้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นว่ามีดอกไม้ป่าชนิดหนึ่งอยู่ สีสวยมากแต่เป็นดอกเล็กๆ

เราเดินขึ้นมาใกล้กับตัวน้ำตกด้านบน ดูสวยแบบอันตราย ดูอันตรายแต่ก็สวย แปลกๆยังไงไม่รู้สิ อธิบายไม่ถูก ^^” ที่นี่มีนักท่องเที่ยวเข้ามากันเยอะค่ะ บ้างมาเล่นน้ำ กระโดดกันตูมๆๆ!! บ้างก็มาถ่ายรูปเล่น บรรยากาศดีใช้ได้เลย แต่เวลาเดินขึ้นไปด้านบนใกล้ๆตัวน้ำตก ต้องเดินด้วยความระมัดระวังนะคะ เพราะเป็นโขดหินชันๆขนาดใหญ่ อาจลื่นพลัดตกลงไปกระแทกได้

จากนั้นก็เดินกลับลงไปหาที่วางของแล้วลงน้ำเลย น้ำเย็นมาก ใสมาก มีปลาอยู่เยอะมาก ปลาตอดด้วย ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่มารุมตอดเต็มไปหมด อยู่นิ่งๆไม่ได้ ต้องขยับตัวตลอดเวลา แอ่งน้ำนี้อยู่ถัดจากตัวน้ำตกลงมา สามารถลงเล่นน้ำได้สบายๆค่ะ

ใช้เวลาอยู่ที่นี่พักใหญ่ ก็ได้เวลาเข้าที่พักกันก่อนค่ำ เพราะที่พักคืนนี้ของเราอยู่ท้ายหาด อีกแล้วแหละ แต่ระหว่างทางเรายังแวะตามจุดต่างๆกันอีกด้วย เริ่มที่ “จุดชมวิว หาดไก่แบ้” เนื่องจากหาทางลงหาดไก่แบ้ไม่เจอ มาซะจนถึงจุดชมวิวตรงนี้แสดงว่าเลยหาดมาแล้วค่ะ จากตรงนี้สามารถมองเห็นเกาะมันใน เกาะมันนอก เกาะปลี และเกาะหยวก (เกาะมัน จ.ตราด เป็นคนละที่กับเกาะมัน จ.ระยอง นะคะ อย่าสับสน ^^)

สามารถพายเรือจากเกาะช้างบริเวณหาดไก่แบ้ ไปถึงเกาะมันในได้ ไม่ไกลกันมากค่ะ และถ้าเป็นช่วงน้ำลงมากๆ สามารถเดินไปได้ด้วยนะคะ ทราบข้อมูลมาว่าระดับน้ำจะลดลงไปจนถึงระดับอกเลยทีเดียว

จากนั้นไปแวะกันต่อที่ “ทางไปหาดท่าน้ำ” แวะลงชมวิวนิดหน่อยไม่ได้เดินไปตรงหาดค่ะ เพราะเวลานั้นแดดเปรี้ยงมาก ตัวแดงแสบผิวเลย

บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยหิน ถ้าเดินไปทางขวาก็จะไปสู่หาดทราย ลงเล่นน้ำได้สวยๆเลย

จากนั้นมาแวะกันบริเวณหมู่บ้านบางเบ้าค่ะ มีท่าเทียบเรือบ้านบางเบ้า สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะออกไปดำน้ำดูปะการังก็จะต้องมาที่นี่

บริเวณสองข้างทางที่เดินเข้าไปยังท่าเทียบเรือนั้น มีร้านค้าขายของอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์ดำน้ำ ตกปลา ขนม ของฝาก และรวมไปถึงร้านอาหารซีฟู้ดส์ ราคาทั่วๆไปไม่แพงมากค่ะ

และนี่คือบริเวณท่าเทียบเรือค่ะ

คืนนี้เราเลือกพักที่ Tropical beach resort เลือกที่นี่เพราะทำเลจริงๆค่ะ เลือกดูจากแผนที่อีกเช่นเคย กะว่าจากที่พัก จะสามารถมองเห็นทั้งวิวพระอาทิตย์ขึ้น และตก อาจไม่เห็นเต็มๆ ได้เห็นแค่เสี้ยวแสงก็ยังดี ราคากลางๆไม่แพงมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้ จึงไม่ลังเล ตัดสินใจเลือกที่นี่ พร้อมหาข้อมูลรีวิวต่างๆอ่าน พอทราบมาบ้างว่าทางเข้าก่อนถึงรีสอร์ทค่อนข้างขรุขระ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆค่ะ

ที่นี่เข้าได้สองทางค่ะ ขับตรงไปยังท้ายเกาะโดยใช้ถนนโยธาธิการ ถ้าดูจาก Google Map จะให้เราเลยเข้าไปจนเกือบสุดทาง ถ้าเข้าทางนี้ ตรงตามทางถนนลาดยางไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงสามแยกที่มีป้ายบอกทางเยอะๆ แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปจะเป็นถนนดินแข็งปนหิน ต้องขับช้าๆเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุรถล้มได้ ตรงเข้าไปเรื่อยๆ แล้วให้สังเกตป้ายบอกทางไป Chivapuri Beach Resort เพราะไปทางเดียวกัน แต่ป้ายบอกทางของ Tropical beach resort นั้นขาดช่วงไปอาจทำให้สับสนได้ เมื่อเข้าไปจนมองเห็นทะเลอยู่ตรงหน้าจะพบกับป้ายร้านอาหารของ Tropical beach resort ก็เลี้ยวซ้ายไปได้เลย

ต้องจอดรถไว้ตรงจุดที่ทางรีสอร์ทให้จอดเท่านั้น และจะมีพนักงานมาช่วยยกกระเป๋าเข้าที่พักให้ค่ะ เนื่องจากป้องกันไม่ให้เกิดเสียงรบกวนต่อผู้เข้าพักท่านอื่นๆด้วย

ห้องพักเป็นหลังๆ สไตล์ทรอปิคอลตามชื่อรีสอร์ทเลยค่ะ คือให้ความรู้สึกสบาย ท่ามกลางธรรมชาติแสนอบอุ่น เงียบสงบ เข้ากับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น สร้างความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี บ้านพักแต่ละหลังภายนอกจะคล้ายๆกันหมดเลยค่ะ แต่จะแบ่งโซนเป็น Deluxe Beach Front / Deluxe Garden และ Superior Garden มีให้เลือกทั้งแบบที่เป็นเตียงเดี่ยวคิงไซส์ และแบบเตียงคู่ค่ะ ส่วนราคานั้น แต่ละซีซั่นจะต่างกันออกไป มีให้เลือกแบบที่รวมอาหารเช้า และแบบไม่รวมอาหารเช้า สามารถดูจากเว็บไซต์ของรีสอร์ทได้เลยนะคะ http://www.kohchang-tropicalbeach.com/rates.html
ขอบอกว่าพนักงานที่นี่น่ารักมาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่พนักงานต้อนรับ ดูมีเซอร์วิสมายด์มาก ชอบอ่า

ที่ว่าดีนักดีหนา มันดียังไง มาเริ่มจากชมบรรยากาศภายนอกรอบๆกันค่ะ ตามที่บอกข้างต้นว่าที่นี่แบ่งเป็นบ้านหลังๆ

มีโซนบาร์เครื่องดื่มแบบเอาท์ดอร์อยู่ริมหาด

มีชายหาดส่วนตัวที่อยู่ท้ายเกาะ ทรายสีขาวๆ ลงเล่นน้ำได้อย่างไม่ต้องขออนุญาตใคร

มีเปลให้นอนเล่นริมชายหาด

มีชิงช้าให้นั่งเล่นสวยๆ นั่งแกว่งชิงช้าไป ชมวิวทะเลไป เป็นอะไรที่ดีมาก

มีเก้าอี้ชายหาดให้นอนอาบแดด หรือนอนชมวิวแบบชิลๆด้วย

เห็นบรรยากาศภายนอกกันไปแล้ว เข้ามาชมภายในที่พักกันค่ะ หน้าบ้านทุกหลังจะมีโอ่งเล็กๆใส่น้ำไว้ให้พร้อมกะลามะพร้าว สำหรับตักน้ำล้างเท้า ล้างทราย ก่อนค่ะ

เมื่อเปิดประตูออกมา อู้หู…. ดูดีใช่ย่อยเลยนะเนี่ย

กลางห้องคือเตียงนอนสีขาวขนาดคิงไซส์ มีมุ้งสายบัวเก๋ๆอยู่เหนือเตียง ชอบอ่า…

มีทีวี ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำร้อน และชุดชงกาแฟ

เดินไปหลังเตียง จะพบกับตู้เซฟ ร่ม กระจก และไดร์เป่าผม ดีมากเลยอ้ะ

และห้องน้ำเก๋ๆแบบนี้

 

 

เข้าที่พัก เก็บของ แล้วออกไปหาร้านข้าวข้างนอกกันต่อค่ะ ทีแรกคิดว่าจะทานในรีสอร์ทเพราะมีอาหารตามสั่งด้วย แต่ราคาค่อนข้างสูง จึงชวนกันออกไปข้างนอกดีกว่า แง่มๆๆ มาจากที่พักไม่ไกลมาก เจอร้านนี้อยู่ติถนนทางขวามือ แวะเลยค่ะ “อู่ข้าวอู่น้ำ”

ราคากลางๆไม่แพงมากค่ะ ตามสั่งจานละ 50 บาท จัดเลยๆๆ หิว…. นี่ จานโปรดของเค้าเอง “ผัดผักรวมหมูกรอบ + ไข่ดาวสุกๆ” อร่อยใช้ได้เลยค่ะ

เมื่อกลับเข้าที่พักอีกครั้ง แสงของวันเริ่มน้อยลง พลันมองไปทางทิศตะวันตก เห็นแสงสีบนท้องฟ้าไกลๆทางฝั่งบางเบ้า จึงหยิบกล้องออกมาแล้วเดินตามทางของแสงไป (ไปทาง Chivapuri Beach Resort อยู่ทางขวาของ Tropical beach resort) เย็นนี้แสงสวยมาก แม้ได้เห็นเพียงเสี้ยว แต่ก็ทำให้ไม่เหลียวไปทางไหน

สุริยายามเย็นเลื่อนลอย
ต่ำคล้อยค่อยลับลงไป
ร่ำลาด้วยแสงสดใส
ราวกับยิ้มให้ก่อนจากกัน
เป็นสัญลักษณ์ฝากบอกว่า
พรุ่งนี้จะกลับมาด้วยใจมั่น
ไม่มีจากแล้วจากเลยจงเชื่อกัน
เช้าอีกวันก็ได้มาหาใหม่เอย

เมื่อเดินกลับมาที่พักอีกทีก็มืดแล้ว ได้เวลาพักผ่อน

 

วันที่ 3 อยู่รีสอร์ท เล่นน้ำ พายเรือจนอิ่มใจ แล้วโบกมือบ๊ายบายลาเกาะช้าง

เมื่อวานตื่นสาย ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น วันนี้จึงตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า คิดว่ายังไงก็ต้องได้ดูแน่ๆ ที่ไหนได้… ฝนตก!!! ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ย..  แล้วยังไงต่อดี… นอนสิคะ รออะไร แฮ่!

หลับสบายไร้รอยต่อทอเต็มผืน ไม่ช่ายๆๆ…!!! ตื่นมาอีกทีก็เกือบเก้าโมงแล้วจ้า รีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปมันกันที่ชายหาดด่วนๆ ที่นี่มีเสื้อชูชีพและเรือคายัคให้ยืมกันฟรีๆด้วยนะคะ จัดมายกเซ็ต พนักงานจะยกเรือพร้อมเสื้อชูชีพมาให้ค่ะ ไม่ต้องยกเอง แดดเริ่มแรง ครีมกันแดดก็ไม่ทา พายเรือเล่นก็ไม่ได้ถ่ายรูป พายออกไปสักระยะก็พายวนกลับมา เอาเรือขึ้นไปเกยหาด แล้วต่อด้วยกระโจนลงเล่นน้ำทะเล ทริปนี้ไม่กลัวดำ เพราะมันต้องดำอยู่แล้ว

เล่นน้ำจนหนำใจแล้วพากันขึ้นมาล้างตัว มีฝักบัวน้ำจืดใกล้ๆหาดให้ใช้ด้วยนะจ๊ะ

ผ้าเช็ดตัวก็มีให้ใช้ หยิบได้จากจุดใกล้ๆเค้าน์เตอร์ต้อนรับ ใช้เสร็จก็นำกลับไปคืน ดีเข้าไปอีกเพราะไม่ต้องถือออกมาจากห้องพัก

เราเช็คเอ๊าท์เกือบเที่ยงเลยค่ะ มีมาม่าและขนมที่ซื้อจากเซเว่นบางเบ้าไว้เมื่อวานเย็นแล้ว รวบเป็นทั้งข้าวเช้าและข้าวกลางวันเลย อิ่มพอดี อ้อ! เกือบลืมบอกไปค่ะ เราจองห้องพักแบบไม่รวมอาหารเช้า ถ้าจะมาทานอาหารเช้าด้วย คิดเพิ่มคนละ 200 บาท แต่ถ้าตกลงกันตอนเช็คอินจะลดให้เหลือ 150 บาท ซึ่งเราไม่ได้รับเพิ่มนะคะ

อาหารเช้าจะเป็นแบบ American Breakfast และอาหารไทยอีก 1 อย่าง ทั้งหมดเป็บบุฟเฟ่ต์ค่ะ ดูน่าทานเหมือนกันนะเนี่ย

เช็คเอ๊าท์แล้วมุ่งหน้าสู่ท่าเรือกันเลยค่ะ ก่อนถึงท่าเรือ แวะปั๊มน้ำมัน ซึ่งปั๊ม ปตท. จะเป็นปั๊มใหญ่แห่งเดียวในเกาะช้างค่ะ นอกนั้นจะเป็นปั๊มเล็ก ปั๊มหลอด และร้านที่แบ่งขายเป็นขวด แล้วก็มาแวะดูนกดูไม้ตรงที่ทำการอุทยานแห่งชาติอีกหน่อยค่ะ

ช่วงที่ขับรถกลับท่าเรือมองเห็นโรงเลี้ยงช้างด้วยนะคะ สำหรับพานักท่องเที่ยวขี่ช้างชมธรรมชาติ เป็นรายชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปค่ะ

บริเวณทางเข้าท่าเรือมีท่าจำหน่ายตั๋วรถตู้ แต่ต้องไปขึ้นบนฝั่ง คนละ 320 บาท ลองเดินไปถามดูแล้วมีรอบอีกทีตอน 5 โมงเย็น รอไม่ไหวจึงไม่ได้ซื้อตั๋วไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยไปดูบนฝั่งอีกที จึงนำมอเตอร์ไซค์ไปคืนร้านเช่าฝั่งตรงข้ามท่าเรือ แล้วข้ามกลับมาซื้อตั๋วเรือในราคาคนละ 80 บาท เท่าเดิม

จากนั้นเดินลงเรือที่มาเทียบท่าอยู่พอดี

บ๊าบบายน้า… เกาะช้าง ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า

เมื่อมาถึงฝั่งแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่บริเวณนั้นเดินเข้ามาถามว่าไปไหน มีรถแล้วหรือยัง แล้วก็เรียกใครคนหนึ่งมา บอกว่าจะจัดการเรื่องรถตู้ให้ บอกตามตรงว่าช่วงแรกเราไม่ไว้ใจ ไม่ชอบวิธีการแบบนี้ อารมณ์เหมือนกำลังถูกแก๊งค์อะไรสักอย่างที่อาจจะไม่บริสุทธิ์ใจมาชักชวนอยู่ ฮ่าๆๆๆๆ บางทีเราก็ดูเป็นคนคิดมากไปนะ ซึ่งจริงๆแล้วเขาเป็นเจ้าหน้าที่ ที่คอยดูแลและจัดการเรื่องรถให้จริงๆค่ะ มีรถทัวร์ 2 สาย ของ บขส. กับ บ.เชิดชัย และรถตู้อีกหนึ่งสาย ซึ่งเป็นสายเดียวกันกับที่ขายตั๋วบนเกาะ รวมไปถึงติดต่อกับรถสายอื่นๆให้ได้ จะเช็คให้เราได้เลยว่าว่างเวลาไหน สามารถขึ้นรถเวลาไหนได้บ้าง แถมยังเรียกรถสองแถวให้อีกด้วย เราตัดสินใจขึ้นรถสองแถวไปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆอีกเต็มคันรถ ไปลงที่ท่ารถแสนตุ้ง ค่าสองแถวคนละ 50 บาท รถตู้คนละ 300 บาท กลับเข้าหมอชิต มีคันที่เข้าเอกมัยด้วยนะคะ แต่วันที่เราจะกลับ ของเอกมัยต้องรอนานจึงเลือกลับที่หมอชิต

ได้นั่งหลังอีกแง้ว…. อย่างน้อยก็ยังดีกว่ากลับช้าอะเนอะ ไปค่ะไป

สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ทั้งหมด

(ค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกด้วยนะคะ โดยเฉพาะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร เป็นตัวแปรหลักๆเลย)

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีค่ะ ^___^

ปิดความเห็น บน เกาะช้าง จ.ตราด (3 วัน 2 คืน / ไม่มีรถส่วนตัว)