เที่ยวเชียงใหม่ พักสบายๆที่ Cmor Hotel Chiang Mai by Andacura
เที่ยวเชียงใหม่ พักสบายๆที่ Cmor Hotel Chiang Mai by Andacura
จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย แถมยังเที่ยวได้ทุกฤดูกาลเลยด้วย และก็เป็นจังหวัดที่เราเดินทางมาท่องเที่ยวบ่อยที่สุด แต่ก็ยังมีอีกหลายที่มากๆที่ยังไม่ได้ไปเยือน แน่นอนว่าคงจะต้องมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ได้มาที่นี่เราจะรู้สึกอุ่นใจเป็นพิเศษ ด้วยหลายๆเหตุผล เช่น คนเชียงใหม่เป็นคนใจดี มีน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส ระบบขนส่งสาธารณะมีเยอะและค่อนข้างครอบคลุม ไปไหนมาไหนก็สะดวก แม้ว่าบางเส้นทางอาจจะไม่มีรถสาธารณะเข้าไปถึงแต่ก็ยังมีระบบรถเช่าไว้รองรับ ไม่ว่าจะเช่าแบบขับเอง หรือมีคนขับ รถเล็ก รถใหญ่ ที่นี่หาเช่าได้ไม่ยากเลย แถมอากาศก็เย็นสบายโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว อยากมาหนาวจัดๆก็ขึ้นดอยได้หนาวถึงใจแน่นอน และสำหรับครั้งนี้เราต้องการมาพักผ่อนสบายๆชิลๆอยู่ในเมือง เที่ยวใกล้ๆเมือง และเลือกเข้าพักที่ Cmor Hotel Chiang Mai by Andacura
โดยมีแผนการท่องเที่ยวดังนี้
วันที่ 1
– ช่วงบ่าย เช็คอิน Cmor Hotel Chiang Mai
– ค่ำ เดินเล่นที่ถนนคนเดิน (วัวลาย)
วันที่ 2
– สาย ชมสวนดอกไม้ ถ่ายรูปชิลๆที่ ดอยปุย
– แวะเล่นน้ำที่ น้ำตกห้วยแก้ว
– ค่ำ เดินเล่นที่ถนนคนเดิน (ท่าแพ)
วันที่ 3
– เดินชมบรรยากาศรอบๆ Cmor
– บ่าย เดินทางกลับ
วันที่ 1 : เช็คอิน Cmor Hotel Chiang Mai – ถนนคนเดิน (วัวลาย)
เดินทางเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ในช่วงบ่าย ด้วยการเช่ามอเตอร์ไซค์ จะได้ไปไหนมาไหนสะดวก และเข้าเช็คอินที่ Cmor Hotel Chiang Mai ทันที่ที่มถึงก็ได้เจอเจ้าหน้าที่ของโรงแรมรอต้อนรับอยู่ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนตั้งแต่พี่ รปภ. เข้าไปจนถึงเค้าเตอร์ฝ่ายต้อนรับ เจอภาพแบบนี้ทำเอาเรายิ้มตามทันทีเลย
วันนี้เราเลือกพักห้อง ดีลักซ์ เปิดประตูเข้าไปตอนแรกตะลึงเลยค่ะ เพราะไม่คิดว่าห้องจะกว้างขนาดนี้ มีกระจกตรงผนังที่สามารถมองเห็นวิวข้างนอกได้ ข้างๆนั้นก็เป็นระเบียงที่สามารถออกไปนั่งรับลมชมวิวเพลินๆได้อย่างสบายๆ วิวที่เราได้มองเห็นจากห้องพักเลยก็คือ “ดอยสุเทพ” สวยมาก!! เป็นวิวเทพมากๆ ยิ่งบางช่วงจะมีเมฆหมอกลอยอยู่บริเวณยอดดอยนะ จะเป็นภาพที่วิจิตรกว่านี้อีก
เตียงนอนคิงไซส์ นุ่มกำลังดี คือถ้านุ่มเกินไปเราจะนอนแล้วปวดหลัง ถ้าแข็งไปก็ไม่ดี แต่นี่คือนุ่มแบบพอดีๆ กำลังดี มีผ้าเช็ดตัวที่ทำเป็นรูปนกคู่ไว้ด้วยน่ารักเชียวค่ะ ^^
มีมุมครัวเล็กๆอยู่ใกล้ๆประตู ทั้งเตาไฟฟ้า กาน้ำร้อน ชั้นวางของ ตู้เย็น และน้ำเปล่าที่เราสามารถดื่มได้ (ฟรี) จะมาพักแค่คืนเดียวหรือหลายๆคืนก็ไม่มีเบื่อแน่นอนนะคะแบบนี้
มีสมาร์ททีวีจอใหญ่ที่เรารู้สึกชอบมากๆ เพราะใช้ต่อกับสมาร์ทโฟนเปิดนู่นนี่ดูผ่านจอทีวีหน้าจอกว้างๆสะใจดี
มาดูในห้องน้ำกันต่อค่ะ นอกจากโถสุขภัณฑ์ และอ่างล้างหน้าแล้ว ในส่วนของห้องอาบน้ำนั้นเป็นกระจกกั้นโซนไว้ มีครีมอาบน้ำ แชม และโลชั่นไว้ให้เป็นขวดค่อนข้างใหญ่เลย และที่ชอบมากๆก็คือ อ่างอาบน้ำ!! เปิดน้ำอุ่นๆไว้นอนแช่สบายไปเลยล่ะค่ะ
นั่งเล่นนอนเล่นกันพักใหญ่ๆจนค่ำก็ได้เวลาชวนกันไปเที่ยวเล่นที่ถนนคนเดินกันต่อ คืนนี้เป็นคืนวันเสาร์ ถนนคนเดินจะอยู่ที่ถนนวัวลาย ขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดตรงหน้าทางเข้าจะมีร้านรับจอด คันละ 10 บาท หรือใครจะหาที่จอดฟรีไกลๆก็ลองหาดูได้นะคะ มากี่ครั้งคนก็ยังเยอะเหมือนเดิมเลยนะ
เดินดูของขายกันไปเรื่อยๆ บางอย่างก็ค่อนข้างแพงแต่บางอย่างก็น่าจับจอง ด่านแรกที่ห้ามความอยากไม่ได้ก็คือร้านไอศกรีมโบราณแบบนี้นี่เลย จัดมาก่อนเลยค่ะ 1 แท่ง 10 บาท เบาๆ
ก่อนมาคิดไว้ว่าจะไปทานข้าวเย็นกันที่ร้านสุรีรัตน์ อยู่ไม่ไกลจากทางเข้าถนนวัวลาย ร้านนั้นราคาถูกแต่ได้เยอะมาก อาหารตามสั่งราดข้าวจานละ 30 35 แต่ได้เยอะมาก รสชาติก็อร่อยใช้ได้ แต่พอเดินไปจนถึงช่วงกลางๆจนเจอโซนที่ขายเฉพาะอาหารหลายๆร้านเลยนะ (ต้องดูโซนที่มีแต่ร้านขายของกิน ราคาจะพอรับได้ ถ้าเป็นโซนที่มีร้านขายของกินปะปนอยู่กับร้านขายของใช้ ราคาจะค่อนข้างแพงไปสักหน่อยสำหรับคนกินง่ายๆเน้นประหยัดแบบเรา) ก็จัดการหาของทานที่นี่เลย เราอยากไปลองชิมไก่ทอดร้านข้าวนึ่ง หรือที่หลายๆคนเรียกว่า ไก่ทอดเที่ยงคืน แต่ร้านต้นตำรับสาขาแรกแถวกำแพงดินนั้นเปิด 22.00 – 05.00 น. จึงต้องหาอะไรทานรองท้องไว้ก่อนเพราะหิวมากๆ! เดินมาเจอร้านติ่มซำ ด้วยความหิวและอยากปนๆกันจึงจัด “รวมมิตร ชุดใหญ่” มาทานด้วยกันสองคน 1 ชุด 60 บาท รสชาติดีใช้ได้เลยค่ะ ใครชอบทานเผ็ดมากเผ็ดน้อยสามารถบอกได้เลยนะคะ คนขายจะผสมน้ำจิ้มให้เราใหม่เลย
เดินมาจนสุดทางก็อดใจไม่ได้ต้องจัดไส้กรอกอีสานมาอีกคนละไม้ แล้วจึงเดินกลับเข้าไปทางเดิม
ได้ซื้อของใช้ส่วนตัวติดไม้ติดมือกลับมานิดหน่อยค่ะ และมาหยุดอยู่ที่ร้าน “หมี่พัน” ก็ว่าจะไม่ทานอะไรแล้วนา…… แต่คนข้างๆก็บอกอยู่นั่นแหละว่าอร่อยๆๆๆ งืม..ลองชิมดูก็ได้ ฮ่าๆๆๆ ที่ร้านหมี่พันจะขายทั้งหมี่ยำใส่กระทงใบตองและทั้งหมี่พันที่ใช้ข้าวเกรียบอ่อนห่อหมี่ยำม้วนๆๆออกมาแบบนี้ อร่อยจริงๆค่ะ ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ ด้วยรสชาติกลมกล่อมของหมี่ยำผสมกับความกรุบๆเล็กๆของข้าวเกรียบอ่อน มันลงตัวมาก อร่อยมาก!!
เดินชิลกันจนถึง 3 ทุ่ม พอเริ่มอิ่มแล้วก็สองจิตสองใจว่าจะรอเวลาไปร้านข้าวนึ่งต่อหรือจะกลับ Cmor เลย แต่ถ้าถามเราคือเราอยากไปลอง ไหนๆก็มีเวลาอยู่ในเมืองนานๆแล้วก็อยากไปทานดูสักครั้ง จึงตัดสินใจตรงไปที่ร้านก่อนเลยค่ะ ไปหาที่รอแถวนั้นก็ได้ ยอม แต่พอมาถึงที่ร้านก็เห็นมีคนนั่งรอสั่งอาหารกันแล้ว คือเริ่มขายแล้วแม้ว่าจะยังไม่ 4 ทุ่มก็ตาม แหม่ ถึงจะยังอิ่มอยู่แต่ก็จะลองชิมให้ได้สักที สู้!!!
ด้วยความที่ดูข้อมูลมาแล้วหลายปี ความจำอันเลือนรางผสมกับความมโนของตัวเอง คิดว่าที่นี่มีส้มตำขาย และของที่สั่งไปจะราคาถูกๆ ปรากฎว่าผิดหวังเรื่องส้มตำแล้วหนึ่งอย่าง (ฮ่าๆๆๆ) จึงสั่งมา 5 เมนู ก่อนที่จะได้เห็นราคาอาหาร (ทั้งที่เขาก็ติดป้ายใหญ่โตไว้ที่ผนังร้าน) คือ….. เราว่ามันแพงไปนะ กับปริมาณที่ได้ แพงไปจริงๆ แต่สั่งมาแล้ว ต้องทานให้หมด รสชาติก็ออกจะเค็มไปสักหน่อย ต้องทานกับข้าวเหนียว ใส่ข้าวเหนียวมากหน่อยก็จะพอดี โดยรวมแล้วพอใช้ได้ค่ะ แต่ราคาแอบแพงๆไปนิด
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเคยถกเถียงกับเพื่อนคนอื่นๆเกี่ยวกับชื่อร้าน คนส่วนใหญ่จะเรียกว่า “ร้านไก่ทอดเที่ยงคืน” แต่เพื่อนจะเรียกว่า “ร้านข้าวนึ่ง” ซึ่งความจริงแล้วร้านนี้เดิมชื่อ “ร้านข้าวนึ่ง” จริงๆค่ะ แต่ในสมัยก่อนช่วงเริ่มกิจการ ในย่านกำแพงดินจะเป็นย่านท่องเที่ยวยามราตรี หมายถึง มีสตรีขายบริการด้วย ใครมาเที่ยวกันดึกๆแล้วหิวข้าวก็จะมาทานกันที่ร้านข้าวนึ่งนี่แหละ เรียกว่าเป็นร้านดังมายาวนานนับสิบๆปีเลย และยังคงคอนเซ็ปทั้งเมนูอาหารและช่วงเวลาเปิดร้านเอาไว้ 22.00 – 05.00 น. ทำให้มีคนเรียกติดปากกันจนเป็นที่แพร่หลายว่า “ไก่ทอดเที่ยงคืน” ทางร้านจึงปรับชื่อร้านให้เป็น “ร้านข้าวนึ่ง – ไก่ทอดเที่ยงคืน” ไปซะเลย แถมยังมีสาขาเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เอาเป็นว่าลองมาทานดูค่ะ แต่แนะนำให้ดูราคาที่เมนูและไปเดินดูอาหารกันก่อนสั่งด้วยนะจ๊ะ
ทานกันจนหมดเกลี้ยงทุกสิ่งอย่าง อิ่มแน่นพุงมากๆ ได้เวลากลับไปผึ่งพุง
วันที่ 2 : ดอยปุย – น้ำตกห้วยแก้ว – ถนนคนเดิน (ท่าแพ)
วันนี้ลงมาทานอาหารเช้าภายใน Cmor Hotel กันค่ะ สำหรับวันนี้หลักๆจะมี ข้าวผัด สปาเก็ตตี้ แฮม ไส้กรอก ไข่ดาว มีออมเลทที่ทำใหม่ๆต่างหากด้วยนะ สลัดบาร์มีผักสดๆให้เลือกทานกับน้ำสลัด 2 อย่าง มีชั้นวางอาหารพื้นเมืองอย่างแคบหมู น้ำพริกตาแดง และข้าวเหนียวหมูห่อใบตอง ซึ่งตอนนี้เหลือห่อสุดท้ายเป็นของเราพอดิบพอดี ผลไม้มีทั้งแบบเป็นชิ้นใหญ่และแบบเสียบไม้น่ารักๆ มีเครื่องดื่มร้อนเย็นหลากหลายดีค่ะ แถมยังมีขนมปัง เครื่องปิ้งขนมปัง แยม เนย โยเกิร์ต โกโก้ครั้นช์
เลือกทานกันไม่หวาดไม่ไหว ตักไปตักมาเต็มโต๊ะเลยค่ะ >< รสชาติพอใช้ได้นะคะ จะทำรสชาติไว้กลางๆเผื่อนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบทานรสจัดอย่างชาวต่างชาติด้วย
ช่วงสายๆ ออกเดินทางมายัง “หมู่บ้านม้งดอยปุย” ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย โดยใช้เส้นทางเดียวกันกับทางขึ้นมายังวัดพระธาตุดอยสุเทพ แต่จะมีทางแยกไปทางซ้ายแล้วขับตรงไปเรื่อยๆ จะผ่านพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวชไปไม่ไกลนักก็จะมีทางแยกลงไปในหมู่บ้านม้งดอยปุยค่ะ เมื่อมาถึงจะมีลานจอดรถกว้างๆ ต้องจอดรถไว้ที่นี่แล้วเดินเข้าไปด้านใน ระหว่างทางเดินนั้นเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีจำหน่ายทั้งของกินของใช้ ราคาไม่แพง ถ้าใครใจไม่แข็งพอด่านเหล่านี้อาจจะละลายทรัพย์ได้นะคะ ^^
เดินเข้ามาจนกระทั่งถึงสามแยกใหญ่ๆ จะมีป้ายเขียนบอกเอาไว้ ทางขวามือเป็นทางไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเขา ส่วนทางซ้ายเป็นทางที่จะไปชม สวนน้ำตก ดอกไม้เมืองหนาว ครกตำข้าวพลังงานน้ำ เราเลือกเดินไปทางซ้าย เมื่อเดินเข้ามาอีกหน่อยก็จะพบป้ายทางเข้าชมสวนดอกไม้ ตรงไปอีก 30 เมตร
ก่อนถึงทางเข้าจะมีร้านให้เช่าชุดม้งใส่เข้าไปถ่ายรูปด้านใน ราคากันเองมาก ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็กเล็ก 30 บาท พร้อมหมวก จะใส่เข้าไปนานแค่ไหนก็ได้ แค่นำมาคืนตอนจะกลับให้ครบเท่านั้นเองจ้ะ
มีค่าเข้าชมคนละ 10 บาท ด้านในมีห้องน้ำไว้ให้บริการด้วยนะคะ
มีร้านเช่าชุดม้งอยู่อีกร้านด้วย เผื่อว่าเข้ามาเห็นบรรยากาศแล้วจะเปลี่ยนใจอยากใส่ชุดม้งขึ้นมาก็ไม่ต้องเดินออกไปเช่าร้านด้านนอก
เราเดินไปทางด้านบนเพื่อไปดูน้ำตกก่อน น้ำตกที่มีถนนตัดผ่าน เวลาน้ำตกไหลลงมาก็จะลอดลงใต้ถนนไปสู่ด้านล่าง ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ยังมีน้ำค่อนข้างเยอะ และน้ำเย็นมาก!!
จากนั้นเดินตามทางลงมาชมดอกไม้และเก็บภาพรัวๆ สวนดอกไม้ที่นี่จะทำเป็นขั้นบันได แต่ละขั้นจะมีดอกไม้หลากสายพันธุ์หลายสีสัน อากาศก็เย็นสบายจึงทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีนับตั้งแต่ก้าวเข้ามา อาจจะมีอยู่ไม่มากนัก ซึ่งคาดว่าถ้าเป็นช่วงเดือน ธ.ค.-ม.ค. น่าจะมีมากกว่านี้ แต่เท่านี้ก็ทำให้เรามีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่รอบๆได้อย่าง่ายดาย
ด้านล่างจะมีมุมที่เซ็ตไว้สำหรับให้นั่งหรือยืนถ่ายรูปหน้าน้ำตกด้วยนะคะ ถ้าหากมาที่นี่แล้วก็อย่าลืมมาเก็บภาพกันที่จุดนี้ด้วยนะจ๊ะ
นอกจากจะได้เห็นนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันใส่ชุดม้งเข้ามาเที่ยวชมแล้ว ยังได้เห็นเด็กน้อยชาวม้งใส่ชุดม้งน่ารักๆเดินเล่นกันอยู่อีกสามสี่คน จึงแอบเก็บความน่ารักของเด็กๆมาด้วยค่ะ ^^ พอไปเรียกขอถ่ายรูปเท่านั้นแหละ .. “พี่คะ ถ่ายรูปแล้วให้เงินด้วยนะคะ 5 บาท 10 บาทก็ได้ค่ะ” เอิ้กๆๆๆๆ……
เดินมาเรื่อยๆจะพบกับ “ครกตำข้าว พลังน้ำ-พลังคน” เป็นครกที่คนตำก็ได้ หรือจะใช้พลังจากน้ำก็ได้ โดยที่จะมีร่องที่ปลายไม้เป็นกระเดื่อง สำหรับรองน้ำซึ่งไหลมาจากท่อ pvc เมื่อน้ำไหลลงร่องจนเต็ม ปลายด้านที่มีน้ำถ่วงก็จะตกลงมาเทน้ำออก และปลายอีกด้านหนึ่งจะตำลงไปในครกนั่นเอง
จากนั้นขอเดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆกันต่อค่ะ นอกจากดอกไม้สีสันสดใสนานาชนิดแล้ว บรรยากาศโดยรอบที่นี่ก็ดูชุ่มชื่นมาก อากาศดีมากๆ มีมุมให้น่าถ่ายรูปหลายมุมเลยนะ
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมาก… ทั้งๆที่พื้นที่ก็ไม่ได้กว้างมากนัก แต่ใช้เวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมงเลย อิ่มเอมกับบรรยากาศสุดๆ
พอเริ่มหิวก็เดินออกมาเห็นภาพนี้ คือ บริเวณทางเข้า-ออก สวนดอกไม้ จะมีร้านให้ยิงหน้าไม้ โดยแขวนผลไม้จำพวก ส้ม มะละกอ เอาไว้ในรัศมีประมาณ 100 เมตร ยิง 3 ดอก แค่ 10 บาทเอง
พอออกมาก็มาจอดที่ร้านนี้เลยค่ะ “ไก่ทอดบ้านนอม” มีขายทั้งไก่ทอด ข้าวเหนียว ไส้อั่ว ข้าวซอย ขนมจีนน้ำเงี้ยว ยำ และส้มตำ เราลองซื้อไก่ทอดมาทาน คือจะบอกว่า อร่อยมาก!! มั่นใจว่าไม่ได้ชมเพราะกำลังหิว แต่เป็นไก่ทอดที่อร่อยมากจริงๆค่ะ ทอดกันใหม่ๆ กรอบนอกนุ่มในเลยล่ะค่ะ
ร้านที่อยู่ติดกันก็จะขายอาหารประเภทเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารอีกหลายร้านเลยนะคะ เดินไปเดินมาก็เริ่มหิวจริงจังเพราะเดินกันจนบ่ายแล้วยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลย จนแล้วจนรอดออกมานั่งทานส้มตำกันที่ร้านหน้าทางเข้าตลาด บริเวณข้างๆลานจอดรถนี่แหละค่ะ ร้านนี้เป็นร้านอาหารตามสั่งที่มีส้มตำ แต่ไม่มีเมนู ลาบ น้ำตก ข้าวเหนียว นะคะ ก็เลยต้องเข้าไปซื้อไก่ทอดร้านเดิมออกมา แล้วก็สั่งเป็นเส้นหมี่ลวกทานกับส้มตำ
จากนั้นออกมาแวะที่หน้าทางเข้าพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ แต่เนื่องจากต้องแต่งกายสุภาพจึงจะเข้าได้ หากกระโปรงสั้นเหนือเข่าหรือคลุมเข่าแต่บางจนมองเห็นขาก็สามารถเช่าถ้านุ่งผืนละ 40 บาท บริเวณนั้นได้ เราจึงเดินเข้าไปชมวิวที่ “จุดชมวิวผาดำ” เดินเข้าไปตอนแรกคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แต่พอเดินมาจนสุดจะมีรั้วกั้นหน้าผาอยู่ มองเห็นวิวเมืองและทิวเขา ตอนนี้มีเมฆและแดดอ่อนๆ จึงทำให้เห็นลำแสงพุ่งผ่านลงมาจากก้อนเมฆ เป็นภาพที่สวยมาก
จากตรงนี้ขับรถลงมาเรื่อยๆมาแวะที่ “สวนสน” ลองแวะเข้าไปดูค่ะ เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่ขึ้นมาดอยสุเทพก็จะมองเป็นทางผ่าน วันนี้พอมีเวลาหน่อยจึงลองแวะเข้าไปดู ด้านในละมีบ้านพักอยู่หลายหลัง มีลานกางเต็นท์กว้างมาก บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่อยู่เต็มไปหมด ซึ่งส่วนมากจะเป็นต้นสนและต้นยูคาลิปตัส ถ้ามีเวลาอยากมาพักท่ามกลางธรรมชาติเราว่าที่นี่ก็น่าสนใจมากเลยล่ะค่ะ
จากนั้นลงไปแวะ “น้ำตกห้วยแก้ว” อยู่บริเวณด้านหลังอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เป็นน้ำตกชั้นเดียว สามารถเข้าไปชมความงดงามของตัวน้ำตกได้ด้วยการเดินเข้าไปในระยะทางประมาณ 300 เมตร หรือจะลงเล่นน้ำกันที่ริมทางเดินเข้าตัวน้ำตกก็น่าสนุกดีนะคะ เห็นคนเล่นกันเยอะเลย
ใกล้ค่ำแล้ว ชวนกันไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน (ท่าแพ) กันต่อ ถนนคนเดินในเชียงใหม่ทั้งวัวลายและท่าแพมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มากี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ ส่วนครั้งนี้เราไม่ได้มาเพื่อกินหรือเดินไหลตามผู้คนเท่านั้น แต่จะขอแวะวัดระหว่างทางเดินเข้าถนนคนเดินด้วย เริ่มจากเมื่อเดินเข้ามาจากทางฝั่งตรงข้ามประตูท่าแพ จะได้พบกับร้านปิ้งย่าง แต่ไม่ใช่ปิ้งย่างธรรมดา เพราะเป็นปิ้งย่างที่มีเนื้อสัตว์แปลกๆมากมาย เช่น เนื้อจรเข้ เนื้อนกกระจอกเทศ เนื้อกวาง ….. แต่ไม่ได้ชิมนะคะ ^^”
เราเดินเข้ามาแวะที่ “วัดเจดีย์หลวง” เป็นพระเจดีย์หลวงเจดีย์อิฐโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ หน้าประตูวิหารมีบันไดนาคเลื้อยลงมาใช้หางกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตู ถือว่าเป็นนาคที่งามที่สุดของภาคเหนือ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญให้กราบไหว้บูชามากมาย ทั้งพระประธานในพระวิหารหลวง พระนอนซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังเจดีย์ เสาอินทขิล หรือเสาหลักเมืองตั้งอยู่กลางวิหารจตุรมุขศิลปะแบบล้านนาประยุกต์ นอกจากนี้ยังมีพระอุโบส๔ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามญาติองค์ใหญ่ และมีศาลหลักเมืองเชียงใหม่ อยู่ในเขตรั้วเดียวกัน
จากนั้นก็ได้เวลามองหาของกินกันแล้วจ้า… เห็นอะไรก็อยากกินไปหมดเลยจ้า อยากมีสัก 10 กระเพาะเอาไว้รองรับความอยากกิน ฮ่าๆๆๆ
ก่อนกลับก็ได้เดินมาแวะชมความงดงามทางศิลปะล้านนาและไหว้พระที่วัดอินทขีลสะดือเมือง
จากนั้น รู้สึกว่ายังไม่อิ่ม จากถนนคนเดินเมื่อสักครู่นั้นแค่รองท้องเบาๆ จึงไปต่อกันที่ “อ๋องทิพย์รส” ร้านลูกชิ้นหัวนมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่เฮียน้อย ผู้เป็นเจ้าของร้าน ส่วนใหญ่แล้วเฮียน้อยจะเป็นคนรับออเดอร์ด้วยตัวเอง ไม่มีการจด แต่จะใช้วิธีพูดเสียงดังๆยานๆทื่อๆ เหมือนท่องอาขยานแบบลืมใส่อารมณ์ ^^” และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ลูกชิ้นปลาเม็ดจิ๋ว เนื้อนุ่มเด้งดึ๋ง ที่เรียกกันว่าลูกชิ้นหัวนมนั่นแหละค่ะ ที่เด็ดไม่แพ้ลูกชิ้นก็ต้องยกให้เมนู “ซุปกระดูหมู” จะเป็นกระดูกหมูชิ้นใหญ่ๆตักใส่ชามมาพร้อมน้ำซุปหอมหวานอร่อยกลมกล่อมมาก น้ำซุปจะเป็นคนละแบบกับน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวนะคะ สมัยก่อนเมนูนี้จะให้ฟรี แต่หลังๆมาใครไปกินใครก็ขอ จึงปรับให้เป็นตัวชูโรงอีก 1 เมนู ราคาก็ไม่แพงค่ะ เริ่มต้นแค่ 35 บาท เท่านั้นเอง รสชาติอร่อยเด็ดเลยล่ะค่ะ แนะนำจริงๆร้านนี้
อาหารเต็มท้องแล้วก็กลับมาหลับนอนที่ Cmor Hotel เช่นเคย บรรยากาศยามค่ำคืนก็จะดูสวยไปอีกแบบเหมือนกันนะคะเนี่ย
วันที่ 3 : เดินชมบรรยากาศรอบๆ Cmor – เดินทางกลับ
วันนี้ตื่นมาด้วยความอิ่มเอมจากการไหว้พระและเดินเล่นที่ถนนคนเดินเมื่อคืน ลงมาทานอาหารเช้าแบบเต็มโต๊ะอีกครั้ง เจริญอาหารมากนะทริปนี้
จากนั้นใช้เวลาเดินชมบรรยากาศรอบๆสระว่ายน้ำต่ออีกสักหน่อยค่ะ สระว่ายน้ำที่นี่เป็นระบบคลอรีน น้ำใสแจ๋ว เย็นเจี๊ยบ รอบๆสระมีเตียงอาบแดด และต้นไม้เยอะเลยล่ะค่ะ
ห้องที่เราเข้าพักคือห้องประเภทดีลักซ์นะคะ วันนี้ก่อนจะเดินทางกลับ ได้มีโอกาสเดินชมห้องพักประเภทต่างๆและเก็บภาพมาฝากกันค่ะเริ่มกันที่
Junior Suites
เป็นห้องที่มีขนาด 48 ตารางเมตร มีเตียงนอนให้เลือกทั้งแบบเตียงเดี่ยวคิงไซส์ และแบบเตียงคู่ ประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โต๊ะรับประทานอาหาร โซฟา สมาร์ททีวี
Grand Deluxe
ลักษณะคล้ายกับห้องดีลักซ์แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า คือขนาด 36 ตารางเมตร สามารถเลือกได้ทั้งแบบเตียงเดี่ยวคิงไซส์ และแบบเตียงคู่
Deluxe 2 bedroom-suite
ห้องพักประเภทนี้จะไม่มีในเว็บไซต์อื่นๆ และจะมีเพียงห้องเดียวเท่านั้น ซึ่งมีขนาดกว้างถึง 90 ตารางเมตร แต่ภายในห้องประเภทนี้มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น ห้องแต่งตัว โซฟา และโต๊ะรับประทานอาหาร
One-Bedroom Suites
เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ กว้างถึง 49 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
Cmor Hotel Chiang Mai by Andacura
ที่ตั้ง: 6 หมู่ 2 ซอยโทรคมนาคม1 ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300
ติดต่อสอบถาม
เว็บไซต์: http://cmorhotel.com
โทรฯ: 053 400 111
อีเมล: [email protected]