บ้านป่าบงเปียง (ช่วงนาข้าวสีเขียว)
บ้านป่าบงเปียง
“บ้านป่าบงเปียง” ตั้งอยู่ที่ ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านของชาวเขาปกาเกอะญอ ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ก่อนจะกลายเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานแห่งชาติ มีการปลูกข้าว และข้าวโพดเพื่อดำรงชีวิต ไม่ได้ปลูกเพื่อการค้าขายแต่อย่างใด นาข้าวที่นี่เป็นนาขั้นบันไดที่สวยงามและมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆแห่งหนึ่งของประเทศไทย อากาศเย็นสบาย และมีหมอกลงในยามเช้า เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่งที่มีธรรมชาติบำบัดให้สบายใจได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
ช่วงเวลาท่องเที่ยว
ป่าบงเปียงเหมาะแก่การมาท่องเที่ยวฤดูทำนากระทั่งถึงฤดูเก็บเกี่ยว นั่นก็คือ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนถึงตุลาคม ของทุกปี
ปลาย ก.ค. – ต้น ส.ค. : ช่วงเริ่มดำนา ชาวบ้านจะหว่านกล้าข้าวกันประมาณต้นเดือน ก.ค. และเริ่มดำนา (ปลุกข้าวลงในนา) ในช่วงปลาย ก.ค. หากไปท่องเที่ยวช่วงนี้จะได้เห็นต้นข้าวกออ่อนๆ และเห็นน้ำในนาได้อย่างชัดเจน ความงามอยู่ตรงที่สามารถมองเห็นฟ้าสะท้อนน้ำ เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก
กลาง ส.ค. – ต้น ต.ค. : ช่วงนาข้าวสีเขียว ต้นข้าวจะแตกกอออกใบเต็มที่ไปจนถึงข้าวออกรวงใหม่ๆ ไปเที่ยวช่วงนี้จะได้เห็นความเขียวขจีของข้าวเต็มพื้นที่ท้องนาขั้นบันได ยามเช้ามีเมฆสีขาวบางๆแผ่ลงมา ในบางวันจะไหลมาถึงเกือบบ้านพักเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมากๆ
กลาง ต.ค. – ต้น พ.ย. : ช่วงนาข้าวสีทอง ใบข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเพราะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว สามารถมองเห็นเป็นทุ่งรวงทองพลิ้วไหว เหลืองอร่ามเต็มพื้นที่ สวยงามไปอีกแบบ
ที่พักบ้านป่าบงเปียง
ที่นี่มีโฮมสเตย์ของชาวบ้านอยู่หลายหลัง ลักษณะเป็นกระท่อมไม้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีเพียงบ้านและฟูกนอนหมอนมุ้งผ้าห่ม ที่จะทำให้ได้สัมผัสถึงการใช้ชีวิตแบบชาวบ้านโดยแท้ แต่ละหลังจะได้มองเห็นทุ่งนาเหมือนกันแต่อาจเห็นในมุมมองที่ต่างกันออกไปเล็กน้อย ราคาเบาๆเหมือนกันทุกหลัง คือ คนละ 500 บาท สำหรับ ที่พัก 1 คืน รวมอาหาร 2 มื้อ (เย็นและเช้า) เป็นอาหารพื้นบ้านแบบเรียบง่าย แต่รสชาติอร่อย ปัจจุบันมีที่พักเพิ่มขึ้นมาหลายหลัง ทั้งที่พร้อมให้เข้าพักแล้ว และทั้งที่กำลังก่อสร้าง ส่วนที่พร้อมให้บริการแล้ว มี 8 ที่ ดังนี้
1. บ้านระเบียงนา เป็นหลังที่อยู่ด้านบนสุด ถ้ามาจากทางน้ำตกแม่ปาน เมื่อถึงสามแยกบ้านป่าบงเปียงแล้วให้เลี้ยวไปทางซ้าย จะเจอกับบ้านระเบียงนา จากที่นี่สามารถมองเห็นวิวทุ่งนาได้กว้างไกล แต่อาจจะมองเห็นชั้นของนาขั้นบันไดได้ไม่ชัดมากนัก สามารถพักได้ 1-2 คน
เบอร์ติดต่อ : 080-794-6883
2. บ้านน้องน้ำพุ หากเดินทางเข้ามาจากน้ำตกแม่ปาน เมื่อถึงสามแยกบ้านป่าบงเปียงแล้วให้ไปทางขวา จะเป็นบ้านหลังแรกเลยค่ะ
เบอร์ติดต่อ : 093-220-6128
3. ม่อนนาโฮมสเตย์ ถัดจากบ้านน้องน้ำพุลงไปจะเป็นม่อนนาโฮมสเตย์
เบอร์ติดต่อ : 086-179-5576
4. บ้านมาฉิโพ และที่พักที่เรียกได้ว่าใครมาใครก็ต้องรู้จัก นั่นก็คือบ้านมาฉิโพนั่นเอง
เบอร์ติดต่อ : 081-020-1691
5. บ้านพี่วีรศักด์ บ้านพักทุหลังที่นี่จะเป็นบ้านไม้ รวมถึงบ้านพี่วีรศักดิ์ด้วย แต่ว่าที่นี่จะมีดีไซน์แปลกตา เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ดูเก๋ดีค่ะ
เบอร์ติดต่อ : 093-074-2686
6. บ้านพี่ทองดี เป็นหลังติดถนนที่อยู่ล่างสุด หรือเรียกได้ว่าถ้ามาจากทางอำเภอแม่แจ่ม ก็จะได้เห็นบ้านพี่ทองดีเป็นหลังแรกนั่นเอง สามารถเข้าพักได้ 2-4 คน
เบอร์ติดต่อ : 080-847-8863
7. บ้านพี่ศรชัย เป็นบ้านแฝดที่อยู่กลางทุ่งนา สามารถชมวิวทุ่งนาได้แบบทุกทิศทุกด้าน สามารถพักได้ 2-3 คน
เบอร์ติดต่อ : 097-191-6131, 084-435-9889
8. กระท่อมดาวบ้านดอย เป็นบ้านหลังใหญ่อีกหลังที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา แต่จะอยู่ด้านล่างลงไปจากบ้านพี่ทองดี เปิดให้เข้าพักขั้นต่ำ 4 คนค่ะ
เบอร์ติดต่อ : 091-767-3998
การเดินทางไปยังบ้านป่าบงเปียง
เส้นทางเข้าสู่บ้านป่าบงเปียงค่อนข้างขรุขระ เป็นดินปนหิน รถเก๋ง รถตู้ ไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ต้องใช้รถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ เท่านั้น หรือใครที่ขับมอเตอร์ไซค์แข็งๆก็สามารถขับไปอย่างช้าๆ ค่อยทรงตัวเข้าไปได้เช่นกันค่ะ แต่ถ้าสะดวกที่สุด แนะนำให้ติดต่อคนจากบ้านพักออกมารับบริเวณปากทางได้ ซึ่งจะมีสองเส้นทางด้วยกันคือ
1. เส้นทาง ผ่านน้ำตกแม่ปาน (ค่อนข้างอันตราย แต่ระยะทางใกล้กว่า)
– สำหรับผู้ที่ขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไปเอง : จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้ได้เส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่อินทนนท์ วิ่งยาวขึ้นไปกระทั่งถึงด่านตรวจ จุดที่ 2 ให้เลี้ยวซ้ายไปทางแม่แจ่ม เป็นถนนลาดยาง ขับตรงไปประมาณ 12 กิโลเมตรจะพบกับป้ายทางเข้าน้ำตกแม่ปาน เลี้ยวขวาลงไปตามป้ายนั้น ในระหว่างจะผ่านน้ำตกห้วยทรายเหลือง, น้ำตกแม่ปาน,จะถึงลานจอดรถ (เส้นทางนี้รถทุกชนิดเข้าได้เพราะทางราดยาง) แต่จากลานจอดรถไปป่าบงเปียง เป็นเส้นทางรถรถโฟรวิวเข้าไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตรจะถึงบ้านป่าบงเปียง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15-20 นาที สามารถติดต่อรถเช่าได้จากที่พักโฮมสเตย์ที่จองไว้
– สำหรับผู้ที่ใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ : จากตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นรถสองแถวสีเหลือง สาย เชียงใหม่ – จอมทอง ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 1 (สถานีขนส่งช้างเผือก) หรือไปรอขึ้นประตูเชียงใหม่ ไปลงบริเวณตลาดข้างวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร (บอกให้คนขับไปจอดที่ท่ารถไปแม่แจ่มก็ได้) ค่าโดยสาร 35 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถสองแถวสีเหลือง สาย จอมทอง – แม่แจ่ม ไปลงบริเวณทางเข้าน้ำตกแม่ปาน ค่ารถ 70 บาท แล้วติดต่อรถเช่าจากที่พักให้มารับ
2. เส้นทางผ่านอำเภอแม่แจ่ม (อันตรายน้อยกว่ามาก แต่ระยะทางไกลกว่า)
– สำหรับผู้ที่ขับรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไปเอง : จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้ได้เส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสู่อินทนนท์ วิ่งยาวขึ้นไปกระทั่งถึงด่านตรวจ จุดที่ 2 ให้เลี้ยวซ้ายไปทางแม่แจ่ม เป็นถนนลาดยางค่อนข้างชันและคดเคี้ยวลงเขา บางช่วงอาจมีหลุมเล็กน้อย ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เมื่อถึงสามแยก ด้านหน้าเป็นที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ให้เลี้ยวขวา ตรงไปจะพบบ้านต่อเรือมุ่งตรงไป เรื่อยๆประมาณ 10 กิโล จะมาถึงบ้านทุ่งยาว ขับตรงไป สังเกตุคือหลักกิโลแม่นาจร 16 เลี้ยวขวาจะเจอวัดทุ่งยาว แล้วให้เลี้ยวซ้าย เข้ามาประมาณ 1 กิโลจะเจอหมู่บ้านแม่มิงค์ สังเกตุป้ายเล็กๆจะบอกว่าไป ร.ร.อินทนนท์วิทยา เลี้ยวขวาจะพบหน่วยจัดการต้นน้ำแม่อวม และก็จะมาถึงบ้านป่าตึงให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนทางลาดยางจะสิ้นสุดตรงนี้ ชับตรงไปประมาณ 1 กิโลจะพบทางแยก ทางซ้ายไปบ้านตีนผา ส่วนทางขวาไปบ้านป่าบงเปียง เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที
– สำหรับผู้ที่ใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ : จากตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นรถสองแถวสีเหลือง สาย เชียงใหม่ – จอมทอง ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 1 (สถานีขนส่งช้างเผือก) หรือไปรอขึ้นประตูเชียงใหม่ ไปลงบริเวณตลาดข้างวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร (บอกให้คนขับไปจอดที่ท่ารถไปแม่แจ่มก็ได้) ค่าโดยสาร 35 บาท ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถสองแถวสีเหลือง สาย จอมทอง – แม่แจ่ม ไปอีกประมาณ 1.30 ชั่วโมง ค่ารถ 70 บาท ถึงท่ารถสองแถวแล้วติดต่อรถเช่าจากที่พักให้มารับ
บันทึกการเดินทาง : บ้านป่าบงเปียง (ช่วงนาข้าวสีเขียว)
ครั้งนี้คือการเดินทางมา “บ้านป่าบงเปียง” เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีค่ะ ครั้งแรกมาช่วงเริ่มดำนา ตอนนั้นได้เห็นวิวแบบฟ้าสะท้อนน้ำเพราะต้นข้าวยังไม่แตกกอ (ชมภาพ ช่วงเริ่มดำนา : http://gowithampth.com/baan-pabongpiang-july-2017 ) ก็ว่าสวยมากแล้ว แต่พอมาครั้งนี้ “ช่วงนาข้าวสีเขียว” บอกได้เลยว่าสวยมากกว่าหลายเท่า!!! เพราะภาพที่เราได้เห็นคือความเขียวชะอุ่มชุ่มชื้น สบายตามาก อีกทั้งยังได้สัมผัสอากาศเย็นกำลังดี มันทำให้มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูกเลย
บรรยากาศมุมกว้างของบ้านป่าบงเปียง เดินทางจากอำเภอแม่แจ่มก่อนถึงบ้านพัก
เราเดินทางมากับผู้ร่วมทริปอีก 1 คนค่ะ เช่ามอเตอร์ไซค์จากร้านไบกี้ในตัวเมืองเชียงใหม่ เลาะดอยอินทนนท์มาทางอำเภอแม่แจ่ม เพื่อความปลอดภัย ถึงจะอ้อมไกลหน่อยแต่ก็สบายใจกว่า แถมยังได้เห็นวิวสวยๆมาตลอดทางอีกด้วยนะ มีแวะพักรถ แวะถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ เมื่อมาถึงบ้านป่าบงเปียงก็เป็นช่วงเวลาเย็นพอดี
เมื่อมาถึงแล้วก็หาที่จอดรถและเริ่มแยกกันเดินชมวิวไปเรื่อยๆค่ะ ลองเอากล้อง Gopro ขึ้นมาถ่ายเก็บมุมกว้างๆ
เมฆเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าอาจจะมีฝนมาบ้างก็คงเป็นเรื่องปกติตามฤดูกาล และเผื่อว่าเมื่อฝนหยุดตกแล้วพรุ่งนี้เช้าอาจจะได้เห็นสายหมอกกัน
บ้านป่าบงเปียงทำให้เราประทับใจทุกๆมุม ไม่ว่าจะมองจากจุดไหน ไม่ว่าจะส่องกล้องไปทางใดก็ตาม และเราเชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เข้ามาที่นี่จะต้องประทับใจไม่ต่างไปจากที่เรารู้สึกอย่างแน่นอน
วันนี้มีคนค่อนข้างมาก บ้านแต่ละหลังที่เดินผ่านได้ถูกจับจองไว้หมดแล้ว ไม่เหงาแน่นอน
ความเขียวชะอุ่มของต้นข้าวที่แตกกอใบยาวชะลูด เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เดินเข้าไปหาใกล้ๆ อยากเดินไปตามคันนาทุกขั้น สัมผัสให้ครบทุกสัดส่วน แต่ที่นี่ก็กว้างเกินกว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อเดินได้จนครบถ้วนทั่ว
ใกล้ค่ำลงเรื่อยๆ แสงตะวันลอดผ่านก้อนเมฆขนาดใหญ่ลงมาเป็นแสงสีเหลืองอมส้มอ่อนๆ บอกเวลาว่าเราควรเข้าบ้านพักที่จองมาได้แล้ว
บ้านพักหลังที่จะเป็นที่หลับนอนพักผ่อนอาศัยของเราในวันนี้คือ “บ้านพี่ทองดี” ค่ะ วิวดีมากๆเลยค่ะ ชอบมากจริงๆ
มีเฉลียงที่สามารถนั่งเล่นนอนเล่น ชมวิวนาขั้นบันไดได้มุมกว้างมาก
ภายในบ้านพักมีที่นอนหมอนมุ้ง สำหรับ 2 คนอยู่ในห้อง
และมีอีกชุดหนึ่งอยู่ในตัวบ้าน หน้าห้องนอน ถ้ามากัน 4 คนก็แบ่งเป็นในห้อง 2 คน นอกห้อง 2 คน ได้สบายๆเลยค่ะ
ที่นี่มีหลอดนีออนให้ 1 หลอด และไฟฉายอีก 1 อัน พร้อมใช้งาน เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้นะจ๊ะ
พอขึ้นบันไดมาก็เห็นมีปิ่นโตอาหารเย็นมาวางไว้ให้แล้ว
ด้วยความที่อยากได้ความโรแมนติกเพิ่มอีกนิด อยากได้เทียนสักเล่มสองเล่ม แต่บ้านพี่ทองดีไม่มีเทียนให้ จึงให้ผู้ร่วมทริปไปลองถาม ส่วนเราก็นั่งเล่นรอไปจนค่ำ สรุปคือเขาดูแลอย่างดีค่ะ ไม่มีเทียนก็อุตส่าห์ขับรถออกไปซื้อเทียนมาให้ แอบรู้สึกผิดที่ทำให้เดือดร้อน แต่ก็ดีใจมากที่รู้ว่าคนที่นี่เขาใจดีมากๆนะ กับข้าวมื้อเย็นวันนี้มี ยำปลากระป๋อง ผักต้ม ไข่เจียว และผัดบวบ ดูเป็นอาหารบ้านๆ แต่ขอบอกเลยนะคะว่ารสชาติดีมาก อร่อยมาก!!
พอจุดเทียนเข้าไปเท่านั้นแหละ เป็นดินเนอร์นั่งพื้นเฉลียงที่โรแมนติกสุดๆ ในชามที่เห็นเป็นสีเหลืองๆฟูๆตรงที่เทียนปักอยู่นั่นไม่ใช่ไข่เจียวนะคะ แต่เป็นเชิงเทียนประยุกต์ มีเศษเทียนไขอยู่เยอะมาก ^^
ทานข้าวอิ่ม นั่งเล่น นั่งคุยกันไปพักใหญ่ๆรออาหารย่อย แล้วก็ชวนกันไปอาบน้ำ ยิ่งมืดอากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆค่ะ น้ำก็เย็นด้วย แต่อาบกันแบบโหดๆอย่างนั้นเลย ไม่ต้องถามหาเครื่องทำน้ำอุ่นนะ ดีตรงที่ห้องน้ำบ้านพี่ทองดีเขามีฝักบัวให้ด้วยนะเอ้อ!! แต่เป็นฝักบัว DIY ต่อท่อพีวีซีขึ้นไปแล้วก็มีฝักบัวอยู่ที่หลังคา เปิดปิดด้วยก็อกน้ำ เก๋สุด เสียดายที่ลืมถ่ายรูปมา ^^”
ช่วงเย็นที่ได้เห็นเมฆสีเทาๆก้อนใหญ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าบ้านป่าบงเปียง ก็ทำใจแล้วว่าคืนนี้คงจะไม่ได้เห็นดาวแล้วแน่ๆ แต่ใครจะไปเชื่อ พอตกกลางคืนเมฆก้อนใหญ่ที่ว่าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป เผยให้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ ระยิบระยับเต็มไปหมด เราจึงพยายามชวนผู้ร่วมทริปออกไปถ่ายดาวตามที่ใจปรารถนามานาน แต่มันหนาวและมืดมาก เราเดินกันลงไปได้แค่ตีนบันได ลองตั้งกล้องแบบมั่วแล้วมั่วอีกถ่ายไป 5-6 รูป ก็ไม่ได้อะไรนอกจากภาพดาวดวงกระจิ๊ดริดแถมยังเบลออีกต่างหาก ฮ่าๆๆๆ เท่านั้นก็จำต้องถอดใจ เก็บขาตั้งกล้อง ปิดกล้อง แล้วคอตกเดินขึ้นบันไดไปนั่งเล่นกันอยู่ตรงเฉลียงต่อ ระหว่างนั้นก็ลองตั้งขาตั้ง พร้อมตั้งค่ากล้องเพื่อถ่ายดาวจากเฉลียงออกไปอีกครั้ง ปรากฎว่าคราวนี้ได้มากกว่าดาว เพราะเราเจอช้าง!!!!!!
ใช่แล้วค่ะ ช้างที่ว่านั่นก็คือ “ทางช้างเผือก” เป็นกลุ่มดาวที่ไม่ได้มีโอกาสจะได้เห็นกันบ่อยๆ ช่างภาพหลายๆท่านจะมีแอปพลิเคชั่นหรือโปรแกรมต่างๆเอาไว้เพื่อคำนวนหาวันและเวลาออกล่าช้างกัน เราเองก็เคยลองศึกษาแต่ยังไม่เคยมีโอกาสออกไปล่ากับเขาบ้างเลยสักครั้ง พอมาวันนี้เหลือเชื่อว่าเราจะได้เห็นจากบ้านพักในวันที่ต้องการมาท่องเที่ยวและพักผ่อน เวลานั้นออกจะไม่ค่อยเชื่อตาตัวเองสักเท่าไรว่าภาพที่เห็นจะใช่สิ่งที่คิดจริงๆหรือเปล่า แต่นั่นก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจ ดีใจจนรู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังพองโต ตาเบิกกว้างเพื่อที่จะมองทางช้างเผือกให้ตราตรึง รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน
แต่ด้วยความอ่อนหัด จึงทำให้ได้ภาพทางช้างเผือกออกมาไม่ค่อยงดงามเท่าตาเห็นนัก และอีกอย่างต้องเซฟแบตฯกล้องเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ด้วย จึงถ่ายช้างมาได้ไม่กี่ภาพแล้วก็เข้านอน
นอนหลับสบายจนถึงเช้า อากาศยังคงเย็นๆเหมาะแก่การออกไปเดินเล่นเป็นอย่างยิ่ง ลุกออกมาจากที่นอน เดินออกมาจากห้องก็ได้เห็นวิวสวยๆกันแล้ว หมอก!!!! มีหมอกลงด้วย อะไรจะฟินขนาดนี้!
ไม่คิดเลยว่า ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าจะทำให้เราลืมเรื่องอื่นๆไปเลย เพราะทั้งสายตาและจิตใจต่างก็จดจ่ออยู่กับนาข้าวเขียวๆ และสายหมอกขาวๆ เป็นภาพชวนฝันมาก
ส่องหมอกขาวๆบนนาข้าวเขียวๆ (ขออภัยที่มือสั่นค่ะ ^^”)
นั่งมองจากบนบ้านแล้วไม่หนำใจต้องเดินไปข้างล่างด้วยสิ แปรงฟันเรียบร้อยแล้วก็ชวนกันเดินไปในนาข้าวกันค่ะ ออกมาจากบ้านพี่ทองดี ข้างๆนี้จะมีร้านค้า วันนี้ปิดทำการ วิวดีเชียวแหละ
มองไปยังบ้านพักและขนำในนาข้าวหลายๆหลัง บรรยากาศตอนนี้เหมือนเรากำลังยืนอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ทำให้เคลิบเคลิ้มแทบจะล่องลอยตามหมอกไป
เป็นช่วงที่ทำให้เราไม่นึกถึง วัน เดือน ปี หรือแม้แต่เวลา มันมีความสุขมาก.. แบบที่เราไม่เคยได้รับในตอนที่นั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศหรือในห้องนอนของเรา นี่คือธรรมชาติบำบัดที่แท้จริง เพราะเรายิ้มได้อย่างมีความสุข หายใจได้เต็มปอด
เดินตามคันนาไปอย่างระมัดระวัง ไปเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่ระมัดระวังอาจจะพลาดตกคันนาลงไปได้
อยากหยุดถ่ายรูปตรงไหนก็หยุดได้ตามแต่ใจเราต้องการ จะถ่ายช้าถ่ายเร็วก็ไม่มีใครว่า ^^
ใบข้าวชะลูดลู่ยาวขึ้นมาจนระดับเอว มีหยาดน้ำค้าง และสิ่งมีชีวิตเกาะอยู่ ลองสังเกตดีๆจะได้เห็นภาพความงดงามของธรรมชาติอีกมุมหนึ่ง
เดินไล่ลงมาเรื่อยๆกระทั่งได้พบกับมุมที่สามารถมองเห็นนาขันบันไดได้อย่างงดงามมากที่สุด อาจจะใช้เวลาหน่อย ค่อยๆเดินมา เพื่อให้ได้เห็นมุมสวยๆแบบนี้เต็มใจอย่างยิ่งเลยค่ะ
ยืนอยู่จุดนี้เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และอิ่มเอมไปกับบรรยากาศดีๆวิวสวยๆนานเลยค่ะ หลงรักที่นี่เข้าอย่างจัง ถึงขนาดที่ว่า อยากจะมาอยู่ที่นี่ มานอนที่นี่หลายๆวันเลย แต่ด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทำให้ต้องเก็บภาพแห่งความประทับใจเหล่านี้เอาไว้ให้มากๆ ก่อนที่จะเดินกลับออกมา
แต่ละชั้นของนาขั้นบันได ยังคงมีน้ำไหลผ่านลดหลั่นลงมาอยู่ไม่ขาดสาย
มีชาวบ้านเริ่มออกมาเดินดูนาข้าว บ้างก็มาจับปูจับปลา เป็นภาพที่น่ารักดีค่ะ
ได้เห็นรูปูอยู่เต็มไปหมด สายตาก็พยายามสอดส่องมองหาตัวปูไปด้วย นานจนถอดใจคิดว่าคงไม่ได้เห็นปูตัวเป็นๆแล้ว แต่พอถอดใจได้ไม่นาน ก็มีปูเดินออกมาโชว์ตัวให้เห็นกันจะๆ
เดินกลับมาที่บ้านพักอีกครั้ง มีปิ่นโตและกระติกข้าวมาวางไว้ให้แล้ว
เช้านี้มีเมนู ต้มจืดวุ้นเส้น ผัดหน่อไม้สดใส่ไข่ น้ำพริกหมู และหมูตุ๋นเครื่องเทศหวาน อร่อยมากอีกแล้ว
นั่งทานไป ชมวิวสวยๆไป เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีมากจริงๆค่ะ มีจังหวะหนึ่งที่เหมือนน้ำตาจะไหลแล้วกลืนข้าวลงไปพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาที่มันไม่ไหลออกมา แต่ย้อนกลับเข้าไปพร้อมข้าว ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขซะจนยังไม่อยากกลับ ยังอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่อีกหลายๆวัน แต่เพราะยังมีอะไรอีกมากมายที่รอเราอยู่ ข้าวแต่ละมื้อที่นี่จึงอร่อยมาก วิวที่นี่ก็สวยมาก ที่นี่ทำให้เรามีความสุขมาก และบอกกับตัวเองไว้ว่าจะหาโอกาสมาอีกให้ได้